เปิดยื่นออนไลน์รับเงินสงเคราะห์ 3,000 บาท ใครได้สิทธิบ้างเช็คด่วน!

นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วย นางสาวซาราห์ บินเย๊าะห์ รองอธิการกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้เปิดเผยรายละเอียดการยื่นขอรับเงินสงเคาะห์ 3,000 บาท ให้ผู้ที่เดือดร้อน และได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 รวมถึงผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่พึ่ง ผ่านช่องทางออนไลน์ (E-Service) 

---

เปิดยื่นออนไลน์รับเงินสงเคราะห์ 3,000 บาท ใครได้สิทธิบ้างเช็คด่วน!

---

ซึ่งระบบการจ่ายเงินสงเคราะห์ดังกล่าว จะเป็นไปตามทามไลน์ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากทั้งโรคระบาดและปัญหาทางรายได้ไปตามลำดับ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็วผู้ที่มีความประสงค์ขอรับเงินสงเคราะห์สามารถยื่นเรื่องผ่านระบบออนไลน์ได้เลย ซึ่งจากเดิมคือต้องเดินทางไปที่หน่วยงานของกระทรวงด้วยตัวเอง 

ผู้ที่มีความประสงค์ขอรับเงินสงเคราะห์สามารถยื่นเรื่องผ่านระบบออนไลน์ (E-Service) โดยยื่นคำขอรับบริการ ตามขั้นตอนการลงทะเบียน ดังต่อไปนี้

1.สแกน QR Code หรือ “ยื่นคำขอรับบริการ” ในเว็บไซต์กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
2.กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน
3.ถ่ายรูป แนบไฟล์เอกสาร(เช่นสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสภาพปัญหา)
4.ตรวจสอบความถูกต้อง และ “กดบันทึกข้อมูล”

คุณสมบัติของผู้ยื่นคำร้อง

1.เป็นผู้ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน
2.ครอบครัวรายได้น้อย
3.ไม่มีหัวหน้าครอบครัวจากสาเหตุทั้งการเสียชีวิต ทอดทิ้ง สาบสูญ จำคุกและทุพพลภาพ
4.เป็นบุคคลไร้ที่พึ่ง ตามระเบียบ พส. ว่าด้วยการสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง พ.ศ.2552

จำนวนเงินช่วยเหลือ ว่าด้วยการสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง พ.ศ.2552 จะให้ความช่วยเหลือครอบครัวละ 3,000 บาท ซึ่งจะต้องผ่านการวินิจฉัยของนักสังคมสงเคราะห์

โดยขั้นตอนดังกล่าว จะเริ่มจากการยื่นเรื่อง ต่อด้วยการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่ เพื่อนัดหมายวันลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อพิจารณาคุณสมบัติของผู้ขอรับเงินสงเคราะห์ฯ ว่าเป็นไปตามระเบียบกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ว่าด้วยการสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2552 ซึ่งถ้าผ่านการพิจารณา จะได้รับการโอนเงินเข้าบัญชีของผู้ขอรับเงินสงเคราะห์ โดยเร็วที่สุด ผ่านระบบ Krungthai Corporate Online 

---

ขอบคุณข้อมูลจาก: ฐานเศรษฐกิจ, ประชาชาติธุรกิจ, thebangkokinsight

---