tripgether.com

โครงการหลวงแม่โถ เชียงใหม่ : สวรรค์บนดินที่คุณก็สัมผัสได้

29,700 ครั้ง
16 ต.ค. 2559

หลังจากที่ไม่ได้ออกเดินทางมานานแสนนาน ไม่ว่าจะเป็น ตจว.หรือนอกประเทศก็ตาม ส่วนใหญ่จะติดในเรื่องของเวลาเสียมากกว่า แต่เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมก็มีโอกาสได้ไปท่องเวบท่องเที่ยวของเพื่อน ซึ่งมีการเปิดทริปหารเฉลี่ยโครงการหลวงแม่โถ จ.เชียงใหม่ โครงการหลวงแม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน อีกทั้งยังได้ไปแวะสวนสนบ่อแก้ว จ.เชียงใหม่ การลังเลของผมจึงลดน้อยลง ก่อนที่จะตกลงเดินทาง “ไปด้วยกัน”ในที่สุด

ผมไม่รู้หรอกว่า การเดินทางครั้งนี้จะได้ไปพบเจอกับอะไรบ้าง เพราะบอกรายชื่อมาก็ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยไปเยือน รู้แค่ว่าผมจะได้พบกับนาข้าวสีเหลืองทอง จะได้ไปสัมผัสกับอากาศในช่วงของปลายฝนต้นหนาว จะได้พบกับเด็กๆ ในถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ แค่นี้ก็รู้สึกว่าเต็มอิ่มแล้วสำหรับทริปนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในช่วงเวลา 3 วัน 2 คืน

ก่อนการเดินทางไม่กี่วันจากข้อมูลที่ได้รับว่าจะได้ไปบ้านห้วยห้อม อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งที่นั้นมีการผลิตกาแฟรสชาติชั้นเลิศถึงขนาดส่งออกร้านกาแฟยอดฮิตตราสีเขียวในบ้านเราแล้ว ยังจะได้พบกับน้องๆ หนูๆ ผมจึงคิดว่าไหนๆก็จะเดินทางไปในถิ่นที่ไกลโพ้นขนาดนี้ เราควรซื้อข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ในกำลังแรงที่เราพอจะซื้อได้ไปให้พวกเขาด้วยจะดีกว่า หัวหน้าของผมพอทราบข่าวก็ช่วยสมทบมาอีกส่วนหนึ่ง

ของที่ผมนำไปก็มีทั้งสมุดวาดภาพระบายสี ขนม เชือกกระโดด ฯลฯ ไม่ได้เรียกว่าเป็นการบริจาค แต่ขอเรียกว่า “ปันกัน” จะดีกว่า และเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนรับ คนให้ก็มีความสุข

เราออกเดินจาก กทม. เวลาราวๆ 2 ทุ่มในค่ำคืนของวันพฤหัส ก่อนที่จะไปรุ่งสางที่ “ออบหลวง” เพื่อพักกินข้าวระหว่างทาง พักรถ ล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน จุดแรกที่จะเดินทางไปคือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ชื่อไม่คุ้นกันเลยใช่ไหมครับ ไม่เป็นไร จากนี้ไปผมจะทำให้ทุกคนได้คุ้นเคยกับชื่อนี้กันมากขึ้น และเส้นทางไปเราต้องผ่าน “สวนสนบ่อแก้ว” ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนเลย หากมีเวลาก็สามารถแวะลงไปถ่ายภาพได้ ผมขอใช้เวลาตรงนี้สักนิด เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์กับธรรมชาติสีเขียว

ไม่นานเราก็เดินทางต่อไปถึงโครงการหลวงแม่โถ ราวเที่ยงนิดๆ ท้องเริ่มร้องแล้วสิ เหนือสิ่งอื่นใด กองทัพต้องเดินด้วยท้องก็ไม่น่าจะผิดคำพูดนี้นัก พวกเราจัดการอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย อร่อยที่ว่าคือไม่ต้องมาจากเมนูภัตตาคารหรูที่ไหน แต่มาจากฝีมือแม่ครัวบนดอยของเรานี่เอง มาพร้อมกับผักสดๆจากแปลงปลูก ที่รับรองได้เลยว่ากัดลงไปจะรับรู้ได้ถึงความกรอบและสดจริงๆ ว่ากันว่า แหล่งท่องเที่ยวของที่นี่ จะเด่นในเรื่องของการปลูกผักปลอดสารพิษเพื่อการส่งออก การท่องเที่ยวเชิงเกษตร เน้นป่าเขาลำเนาไพรท่องไปในทุ่งข้าว 

พวกเราพร้อมแล้วล่ะครับ กับการท่องเที่ยวเชิงเกษตร แต่ขอบอกก่อนว่า รถที่ควรจะนำออกไปลุยนั้น ควรเป็นรถโฟรวิวเท่านั้น  ถ้าไม่มี สามารถติดต่อขอใช้บริการรถของโครงการหลวงได้ ซึ่งเราอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายตอบแทนตามความเหมาะสม เพราะรถดังกล่าวเขามีไว้ใช้เพื่องานของโครงการ ไม่ได้มีเอาไว้ใช้บริการนักท่องเที่ยวโดยตรง

จากข้อมูลที่ผมได้หามาพบว่า ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ จัดตั้งขึ้นตามแนวนโยบายส่งเสริมอาชีพเกษตรกรแผนใหม่ ทดแทนการปลูกฝิ่นและการลดใช้สารเคมีกะหล่ำปลี

ลักษณะภูมิประเทศทั่วไป เป็นภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน ทอดยาวตามแนวเหนือใต้ อยู่ในแนวเดียวกัน กับเทือกเขาอินทนนท์ ที่มีความสูงตั้งแต่ 400-1699 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง มียอดที่สูงที่สุดคือยอดดอยกิ่วไร้ม้ง อยู่ในพื้นที่บ้านปางหินฝน อ.แม่แจ่ม โดยมีความสูง 1699 เมตร ส่วนที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่โถ ตั้งอยู่ที่ความสูงประมาณ 1200 เมตร

ฤดูที่เหมาะแก่มาท่องเที่ยวที่นี่คือ ฤดูหนาวในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี สูงสุดประมาณ 27 องศา และต่ำสุดประมาณ 8 องศา อุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 18 องศา ก็เย็นพอตัว น้ำจากขันพอราดลงบนร่างกายความหนาวสั่นก็เข้ามาแทนที่


รุ่งเช้า เราเริ่มต้นกิจกรรมการท่องเที่ยว โดยการขึ้นรถโฟรวิวออกเดินทางไปตามเส้นทางเขา ชมวิวทิวทัศน์ระหว่างทางไปเรื่อยๆ

พวกเราต่างมีความสุขกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะมันหาได้ยากนัก หรือแทบจะหาไม่ได้เลยในเมืองกรุง ที่ที่พวกเราเดินทางจากมา

เอาล่ะครับ มาถึงที่แรกกันแล้ว เรือนปลูกผักของโครงการหลวงฯ ซึ่งมีหลากหลายพันธุ์พืชไม่ว่าจะเป็น เบบี้ฮ่องเต้ เบบี้คอส ผักกาดหวาน  เรดโครอล โอ๊คลีฟแดง ผักโขมแดง ฯลฯ 

ภายใต้การพามาชมโดย “น้องเมย์” สาวแม่โจ้ นักพัฒนาสังคม เจ้าหน้าที่ประจำโครงการหลวงแม่โถ แถมยังโชว์ฝีมือเป็นหนึ่งในแม่ครัวในหลายๆมื้อของเราตลอดการอยู่ที่นั้นด้วย

ผมได้มีโอกาสสอบถามเธอว่าเบื่อไหม กับการต้องมาอยู่บนป่า บนดอยแบบนี้ เธอตอบแบบไม่คิดว่านี่คือความสุขของเธอที่ได้ทำงานแบบนี้ และสนุกดี ไม่ต้องไปทำงานเอกสารให้เครียดเปล่าๆ ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะรอยยิ้มของเธอบ่งบอกถึงความยินดีถึงมิตรภาพที่พร้อมจะเสนอให้ผู้ที่มาเยี่ยมชม

น้องเมย์ พาเราไปเยี่ยมชมโรงเรือนปลูกผักต่างๆ ต่างถ่ายรูปกันสนุกสนาน พวกเราต่างเพลินเพลินกับผักสีเขียวเบื้องหน้า มันละลานตาไปหมด บางครั้งก็ให้ น้องเมย์ มาเป็นนางแบบเฉพาะกิจ อาจจะดูเขินๆไปบ้าง แต่ด้วยความเป็นกันเองของพวกเรา ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี

เห็นภาพเขียวสดสวยแบบนี้ ใครจะรู้ว่าพวกเราต้องลงไปย่ำกับดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ดินติดรองเท้าหนักเป็นกิโลๆ กว่าจะได้แต่ละภาพมา กว่าจะได้ชื่นชม ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่ก็เป็นสิ่งที่พวกเรายินดีที่จะพบเจอ

ผักสีเขียวสดกรอบเหล่านี้ เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ได้ที่ ก็จะถูกส่งออกไปยังสถานที่ ร้านค้าต่างๆ หรือตามร้านใหญ่ในห้างก็ได้ผักมาจากที่นี่แหละ

หลายคนบอกอยากดูว่าอาหารที่พวกเรากินกัน อย่างที่บอกไม่ได้ดูหรูหรา แต่รับรองกินแล้วจะติดใจ (ตามที่ได้รีวิวไปแล้วข้างบน) เมนูที่นี่ส่วนใหญ่เน้นผัก เราสามารถแจ้งล่วงหน้า ให้ทางโครงการจัดเตรียมอาหารให้เราได้ จุดที่เรากินข้าว จะอยู่ในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการฯ สามารถโทรไปแจ้งเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ บ้านแม่โถ โทร 085-623-3295 เพื่อให้อำนวยความสะดวกตรงนี้ให้ครับ

เมื่อตะวันเริ่มคล้อยนกน้อยบินกลับรัง พวกเราก็ได้เวลาต้องหาที่พักร่างกันบ้างแล้ว เราเลือกใช้บริการที่พักของ อุทยานแห่งชาติแม่โถ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลมากนักจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงฯ  ที่พักมีหลายหลัง พวกเราไปกันถึง 10 คน จึงเลือกใช้บ้านหลังใหญ่ ภายในจะมีทั้งหมด 3 ห้องเล็ก (ขนาด 2 เตียงเดี่ยว) และ 1 ห้องใหญ่ (ห้องนี้นอนได้ราว 10 คน) ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว สามารถจองได้ที่โครงการหลวงแม่โถ


เข้าสู่วันที่ 3 ของการท่องเที่ยว พวกผมตื่นกันแต่เช้า หลังจากที่พวกเราให้ผักสีเขียวที่กินเข้าไปได้ทำการซ่อมและประกอบร่างให้เราทั้งคืน ก็ได้เวลาตะลุยท่องเที่ยวกันวัน

ครั้งนี้เราได้ “น้องนะ” นักพัฒนาสังคม เจ้าหน้าที่จากโครงการหลวงอีกคนหนึ่ง พาพวกเราไปชมวิว ณ จุดชมวิวที่สวยที่สุดของแม่โถ แว่วว่าเป็นจุดชมวิว 360 องศากันเลยทีเดียว สุดแสนจะตื่นเต้น โดยรถที่พาพวกเราไปก็เป็นรถโฟรวิวเช่นเคย เพื่อความสะดวกในการเดินทาง

ทุกพื้นที่ของโครงการหลวงแม่โถ มันคือพื้นที่สีเขียวจริงๆ ชมภาพผ่านสายตาแล้วนึกย้อนไปถึงพระราชดำริของในหลวง ที่พระองค์ทรงคิดการณ์ไกลในการสอนให้ชาวเขาได้ปลูกพื้นสีเขียวแทนการปลูกฝิ่นที่ผิดกม. และมันก็ได้ประโยชน์ สร้างรายได้ให้ชาวบ้านโดยสุจริตจริงๆ

เราใช้เวลาอยู่กับภาพเบื้องหน้านานมาก มันคือความงาม ที่ถ้าไม่ได้มาเอง ฟังแค่การเล่าจากปากของคนอื่นก็อาจจะเสพความสุขได้ไม่เต็มที่ ต้องมาเองแล้วจะรู้ว่าความสุขจริงๆเป็นอย่างไร ผมยิงภาพเป็นร้อยๆภาพ ซึ่งเวลาที่อยู่ในเมืองกรุง ผมไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตเอื่อยๆแบบนี้เท่าไรนัก

เมื่อเราอยู่ในมุมสูง เราจะเห็นเรื่องใหญ่ๆ สิ่งใหญ่ๆ เล็กลงทันตา “ปัญหา” ก็เช่นกัน

พื้นที่สีเขียวยังมีอยู่มาก การได้หนีจากเมืองที่เต็มไปด้วยรถรา แล้วจากมาพบพานกับธรรมชาติ มันทำให้เราได้เติมพลังชีวิต คุณว่าจริงไหมครับ การเดินทางแต่ละครับ ไม่ต้องมีอะไรมากครับ ไปกับใจที่ปล่อยว่าง, กล้องถ่ายรูปสักตัว แล้วก็จินตนาการที่ไร้ซึ่งข้อจำกัด

นานกี่ชั่วโมงแล้วไม่รู้ ที่พวกเราเพลิดเพลินไปกับการถ่ายภาพ และสูดอากาศที่บริสุทธิ์ รวมถึงยังได้ไปชมไร่มะเขือเทศที่รอเวลาเก็บเกี่ยว จากนั้นก็เตรียมตัวกลับไปยังรถตู้ของพวกเรา เพื่อที่จะเดินทางไปยัง โครงการหลวงแม่ลาน้อย ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ต่อไป แต่ก่อนจะไปเปลี่ยนรถ พวกเราก็เจอคุณพี่ท่านนี้ กำลังขนกะหล่ำปลีขึ้นรถ เพื่อนำไปขายส่งออก จึงได้มีการขอถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก

ถามไถ่กันพอหอมปากหอมคอ จึงได้รู้ว่ากะหล่ำที่ขนลงมาจากแปลงปลูก แบกทีเป็นร้อยๆโล นับว่าหนักหนาเอาการ ก่อนจากกัน คุณพี่ยังใจดีให้กะหล่ำเรามาฟรีๆ ก่อนที่มันจะกลายเป็นผัดกะหล่ำปลีน้ำปลาในมื้อเที่ยงของเรานั่นเอง
กลับถึงที่พัก ก็กินข้าวกันก่อน สิ่งสำคัญสำหรับการเดินทาง และแน่นอน 1 ในเมนูต้องมีกะหล่ำปลีผัดน้ำปลา
ได้เวลาต้องขึ้นรถจากลาโครงการหลวงแม่โถกันแล้ว เวลาของความสุขมันผ่านไปเร็วจริงๆ ทั้งๆที่เราก็ได้ไปหลายสถานที่กันเลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่เราได้พบเจอมา มันคือประสบการณ์ที่ดี ที่หาได้ค่อนข้างยากในเมืองใหญ่ สัญญาว่าจะจำภาพเหล่านี้ไว้ในใจตลอดไป และจะบอกไปไกลๆว่าเมืองไทยเรายังมีที่น่าท่องเที่ยวอีกมากมาย คุณต้องไป…แล้วจะได้รู้
และก่อนออกจากโครงการหลวงฯ ก็ผ่านบ้านหลังหนึ่ง กำลังคัดแยกมะเขือเทศ ไม่รอช้าที่จะลงไปพูดคุยทักทายและชักภาพกลับมาว่า นี่คือกระบวนการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ก่อนส่งขายต่อไป

เส้นทางการเดินทาง
ถ้ามารถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ใช้เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทางราว 750 กิโลเมตร และจากจังหวัดเชียงใหม่ เดินทางตามเส้นทางเชียงใหม่ – ฮอด ทางหลวงหมายเลข 108 (สายเชียงใหม่ – แม่ฮ่องสอน) ประมาณ 89 กิโลเมตร ถึง อ.ฮอด แล้วให้เลี้ยวขวาไปตามถนนฮอด-แม่สะเรียง (หมายเลข 108) อีก 54 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาที่แยกบ้านกองลอย มุ่งหน้าไปบ้านแม่โถ (ตามทางหลวง 1270 สายกองลอย-แม่โถ) ถนนช่วงนี้เป็นถนนลูกรัง ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร โดยเส้นทางถึงโครงการหลวงฯเราสามารถใช้รถได้ทุกประเภท เพราะปัจจุบันมีถนนลาดยางจนถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติแม่โถ แต่พอจะเข้าสู่อุทยานแห่งชาติแม่โถ หากไปช่วงฤดูฝน แนะนำเป็นรถกระบะจะสะดวกที่สุด ส่วนเส้นทางจะไปชมวิวแบบ 360 องศา พาหนะที่ดีที่สุดคือรถโฟรวิว รวมระยะทางทั้งหมดจากกรุงเทพฯ-อช.แม่โถ ประมาณ 910 กิโลเมตร
ขอบคุณ โครงการหลวงแม่โถ มากๆที่ทำให้ผมได้รู้ว่า เมืองไทยของเรายังมีที่ท่องเที่ยวดีๆแบบนี้อยู่ และถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาเยือนอีกแน่นอน เอาล่ะครับ เส้นทางต่อไป จะพาคุณๆไปเยือนดินแดนแม่ลาน้อย เยี่ยมชมโครงการหลวง กับทุ่งนาขั้นบันไดและรวงข้าวสีทอง แวะถิ่นบ้านห้วยห้อมแหล่งผลิตกาแฟ ผ้าพันคอขนแกะ กับรีวิวตอนจบ อีกไม่นานเกินรอ ….

ขอบคุณรีวิวข้อมูลดีๆ และภาพถ่ายสวยๆ จากคุณตัวเรา


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ