tripgether.com

แบกเป้เที่ยวหน้าหนาวที่ดอยม่อนจอง – เชียงใหม่กับคนแปลกหน้า

8,280 ครั้ง
8 ธ.ค. 2559

ติดตามชมภาพถ่ายสวยๆ ได้ที่ IG : Knottfdg และ Facebook Knottfdg

ฮัลโหลสวัสดีโซเชียลแคม ไม่มี๊ไรม๊ากอยากรีวิว อยากอวดว่าไปเชียงใหม่มาเอ๊าะ (อวดทำไมใครๆเค้าก็ไปมา) ทำไมอยากเล่าอ่ะทำไม เนื่องจากเราไปเชียงใหม่มาค่ะแล้วมีคนทักเข้ามาเยอะมากว่าไปไรยังไงบลาๆ จะให้ชั้นตอบหลายๆ รอบก็ไม่ต้องทำมาหากินละ บวกกับอยากความรู้สึกที่อยากจะเล่าให้ใครสักคนฟังว่าเออไปนี่มา พีคมากนะรู้ยัง

ความตั้งใจแรกที่อยากไปเชียงใหม่คือ เคยสัญญากับคนๆ นึงเอาไว้ว่าเราจะไปเชียงใหม่ด้วยกัน แต่ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้ไปแล้ว แต่มันยังมีความรู้สึกในใจว่า เห้ยไม่ได้นะต้องไปมันค้างคา หลังจากนั้นค่ะ เราได้โพสภาพกับแคปชั่นลงในเฟสบุคว่า อยากพาตัวเองไปชาร์ตแบตที่เชียงใหม่ ในใจก็คิดนะ จะไปไงกับใคร จุดเริ่มพีคๆ มันอยู่ตรงนี้ค่ะ มีชะนีนางหนึ่งชื่อแพท ทักแชทมาชวนไปเที่ยวเชียงใหม่จ้า ในใจที่ไปถึงเชียงใหม่ละ แต่ไม่ได้นะแม่จะว่าไหมละ ใครก็ไม่รู้ ไว้ใจได้ป่าวเนี่ย แต่เห้ยประสบการณ์นะ นางก็หว่านล้อมค่ะ อยากไปแบคแพค หาแรงบันดาลใจบนเขา เที่ยวเก๋ๆ ถ่ายรูปตามฟิว นอนกลางดินกินกลางทรายกันที่ม่อนจอง คือชวนกันไปลำบากเฉย พร้อมส่งเรฟเรนท์ว่าเราจะไปคูลๆ กันบนเขาแบบเพชรพลอย และเดินชิวๆ ในนิมมาน

บางคนคงจะด่าในใจว่าเราใจง่าย ขอบอกนิดนึงว่า เรามีเฟสนางนานแล้วค่ะ รู้จักกันใน Vsco cam Thailand ชอบภาพที่นางถ่าย ก็ติดตามอะไรกันไปมาในเฟสบุคแต่ไม่เคยคุยกัน ก็คิดว่าเชื่อถือได้ในระดับนึง เพราะคนรู้จักนางเยอะ เน็ตไอดอลไป ถ้าแกหลอกชั้นไปขาย แกเสียเครดิตแน่ ค่ะสุดท้ายเราก็หลวมตัวไป ก็นัดแนะกันในแชทว่าจะไปม่อนจอง เพราะคนไม่เยอะ ไม่ค่อยมีคนไป  ตอนแรกตั้งใจจะไปรถไฟฟรีค่ะ เพราะงบน้อยมากๆ แต่คุยไปคุยมาสรุปได้ไปรถทัวร์ อ่ะไม่เป็นไรดีกว่าไม่ได้ไปนะแก นางก็จัดการออกตังจองตั๋วรถทัวร์ให้ก่อน

เรานัดกันที่ยูเนียนค่ะ นางจะขับรถมารับแล้วไปหมอชิตด้วยกัน ตื่นเต้นมาก จะได้ไปเที่ยวกับชะนีคนดังที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน สรุปพอขึ้นรถมา เฉยๆ ค่ะ ความรู้สึกเหมือนเจอนางมาสามพันเก้าร้อยปีมาแล้ว เราก็คุยกันปกติเหมือนเพื่อนที่รุ้จักกันมานานแล้ว อาจเพราะเป็นคนแนวๆ เดียวกันด้วย แต่! นางเอากระเป๋ามาสี่ใบค่ะ ไหนบอกมาแบคแพค แบกไรมาเยอะแยะค่ะ พร๊อบนางครบมากค่ะ ตั้งแต่หมวกยันรองเท้า คอนเฟิร์มว่านางต้องสวยที่สุดบนยอดเขาม่อนจอง

เรามาถึงหมอชิตแบบกระชั้นชิดมากค่ะ ไม่มีเวลาหาไรกินทั้งนั้นมุ่งตรงขึ้นรถอย่างเดียว ทุกคนบนรถรอเราอยู่ แค่นี้ก็เฟิร์สอิมเพรชชั่นแล้วค่ะยังไม่ทันถึงเชียงใหม่เลย รถออก 19.50 ค่ารถคนละ 470 นั่งตรงทางขึ้นละคือเราขายาว บอกเลยว่าเมื่ออยมาก ใครจองรถก็ดูให้ดีๆ นะคะ พอประมาน 0.30 รถก็จอดแวะให้พักกินข้าวที่กำแพงเพชร แต่ตลอดทางก็มีแวะให้เข้าห้องน้ำนะ แต่ที่ตลกคือมีลุงคนนึงไปเข้าห้องน้ำค่ะ คนขับรถนึกว่าขึ้นมาครบแล้วก็ออกสิสรุปทิ้งอีลุงไว้ที่ห้องน้ำ มีการโทรมาด้วยนะว่าลืมผมให้กลับมารับ สรุปไม่ได้ต้องรอรถคันหลังมารับ เข้าห้องน้ำก็อย่าลืมบอกคนข้างๆ ไว้ด้วยนะคะ เดี๋ยวถูกทิ้งเหมือนลุง

ประมาณ 6.30 ก็ถึงเชียงใหม่ค่ะ เดินทางตอนกลางคืนดีอย่าง ตรงที่เราได้หลับตลอดทาง รถมาจอดที่อาเขตของเชียงใหม่ ก็จะมีรถแดงมากมายหลายล้านมารุมเชิญให้ไปขึ้นรถลุง แต่เพื่อนแพทจะมารับเราขับไปในตัวเมืองค่ะ นางคอนเนคชั่นเยอะจริง อ่อลืมบอกเรามีเพื่อนร่วมทริปไปกับเราอีกหนึ่งคน ชื่อแนน ส่วนอีกหนึ่งคนจะตามมาทีหลัง

แต่ไหนใครบอกเชียงใหม่หนาวแล้ววะ ชั้นขนเสื้อกันหนาวมาหนานะ ลงมาจากรถนี่เงิบแปป อากาศกำลังดี ยังไม่หนาว คนที่นี่บอกว่าไม่หนาวมาสามวันแล้ว มาเรื่องที่พักเราโชคดีมาก เพราะไปพักกับคนรุ้จักแพท ชื่อพี่เต๊าเป็นร้านบอร์ดเกมกึ่งคาเฟ่แมว แต่มีแมวอยุ่สองตัว ชื่อมี่กับไรสักอย่าง เราเพิ่งเคยเห็นร้านแบบนี้ค่ะ ปกติจะเป็นร้านเน๊ตมีคอม แต่นี่เป็นร้านเกมคล้ายๆ เกมกระดาน พวกเกมเศรษฐี แต่นี่เป็นเกมที่อิมพอร์ตจากต่างประเทศมีหลายเกมมากๆ ก็คิดว่ามันจะเล่นไง สนุกหรอจะมีคนมาไหม แต่คิดผิดค่ะ คนมาเล่นยันเที่ยงคืนนะจ๊ะ มีหลายเกม พี่เต๊าก็ชวนเล่นค่ะ มันสนุก  มันตลกตรงคนเล่นนี่ละ ขอไม่อธิบายละกันว่าเกมไร ถ้ามีโอกาสลองไปที่นี่ดูค่ะ chubby cat café อยู่ในซอยวัดอุโมงค์ที่เชียงใหม่เจ้า

ตามด้วยอาหารมื้อแรกที่เชียงใหม่ มาม่าปากระเปิดจ้า ระเบิดจริงเผ็ดมาก แต่จริงๆ มีความเผ็ดหลายเลเวลให้เลือก แต่นี่สั่งกันไม่เป็นเอง จริงๆ ก็อร่อยดีนะสำหรับเรา ราคาก็ไม่แพงด้วย

ถึงเวลาที่เราจะไปชิคๆ คูลๆ ในนิมมานกันละค้า ออกมาหน้าปากซอย นั่งรถแดงไปนิมมานเจ้า รถติดมากเชียงใหม่เจริญพอๆ กับกรุงเทพเลยค่ะ  เป็นความรู้ใหม่ว่า ที่เชียงใหม่ไม่มีรถเมล์ แท็กซี่ก็น้อยมากแทบไม่มี มีแต่รถแดงที่ใช้เดินทางทั่วไป และถ้าเราพูดภาษาเหนือกับคนขับค่ารถจะถูกลงอีก แล้วก็บังเอิญมากที่แพทพูดได้นางเป็นคนเจียงใหม่เจ้า ก็เซฮัลโหลกันไปน่ารักดีค่ะ

ร้านแรกที่มาคือ local café อยู่ตรงthink park  ร้านใหญ่มาก สวยมาก มีสองชั้น ตกแต่งได้น่านั่งมาก คนต่างชาติเยอะค่ะ

ร้านจะเป็นสไตล์ไม้ๆ ไฟส้มๆ

เราสั่ง Mocha choco cake 75 บาทค่ะ กินกันสองคนอร่อย

เป็นร้านที่ตกแต่งได้น่านั่ง ถ่ายรูปละชอบมาก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปชั้นบนมา

เรื่องบังเอิญอีกค่ะ รุ่นพี่คนนึงที่เรารู้จักในเฟสอยู่ขอนแก่นค่ะ มาเที่ยวที่นี้เหมือนกันเลยนัดเจอกันที่นี่ ไม่คิดเลยว่าใครก็ไม่รู้อยุ่ไกลกันคนละภาคจะมาเจอกันในเชียงใหม่ เรานั่งคุยแลกเปลี่ยนกัน รู้สึกดีมากๆ มันรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเราเคยเจอกันมาก่อน เป็นอีกเรื่องราวดีๆ ในเชียงใหม่ค่ะ

ต่อๆ เราก็เดินไปย่านนิมมาน เดินมันแทบทุกซอย มีแต่ร้านกาแฟ ร้านอาหารน่านั่ง ร้านสวยมาก อยากอยู่ที่นี่ทั้งวัน ถ้าตังค์ในกระเป๋าพอ

มาที่นี้ต้องมาร้านนี้ค่ะ แพทบอกว่าเป็นร้านดังชื่อร้านคั่วไก่ศริญญา ซอยไหนจำไมไ่ด้ค่ะ ต้องลองก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่กับข้าวซอย มาถึงเชียงใหม่ต้องกินข้าวซอยนะซิกเนเจอร์เค้า ปรากฏชิมไปคำแรก ผมนี้อึ้งเลยครัช อะไรวะเนี่ยเหมือนเอาแกงมารวมกับขนมจีนแล้วใส่ผัก ไม่ใช่ทางเราสุดๆ แปลกๆดีค่ะเอาเป็นว่าชั้นได้ชิมแล้ว

ต่อรัวๆ กับย่านนิมมาน ไอเบอรี่ค่ะ ร้านพี่โน๊ตอุดมชั้นก็มานะ ร้านนี้คนเยอะมากค่ะ ส่วนใหญ่เป็นทัวร์จีน อันนี้เราไม่ได้สั่งค่ะ เพื่อนสั่ง เราก็นั่งคูลๆ ไป มาร้านนี้เราก็ได้เพื่อนใหม่อีกคนนึงค่ะ เป็นผู้ชายเรียนที่ราชภัฎเชียงใหม่เป็นเพื่อนของแพท นางก็พูดภาษาเหนือกันเจ้า แปลได้บ้างไม่ได้บ้างก็แลกเปลี่ยนกันความคิดมุมมองกันไปทริปนี่มีแต่คนแปลกหน้าความรู้สึกเหมือนโลกเรากว้างขึ้นไปอีก

สักพักมีใครก็ไม่รู้ทักแชทมาค่ะว่า นี่ๆ เธอเชียงใหม่มีงาน nap นะ เป็นงานรวมของแฮนเมดเธอลองไปดูเราก็มาขายของที่นี่

สรุปพวกเราไปเดินงาน nap ต่อ ของแฮนด์เมดเยอะมาก เป็นงานไม้งานผ้า

ร้านที่เรารู้จักใน instagram ก็มาขายไกลถึงนี่ค่ะ

เราชอบนะเป็นอีกฟิลนึงที่ชิลๆ แต่ตอนนี้งานน่าจะหมดไปแล้วค่ะ ก่อนกลับเพื่อนซื้อนี่ให้กินค่ะบอกอร่อย มันคือไข่ไรสักอย่าง จำชื่อไม่ได้ เหมือนไข่ดาวผสมไช่เจียวแต่เอาไปปิ้ง เออแปลกดีอร่อยด้วย

หมดไปหนึ่งวัน  ยังเที่ยวในนิมมานไม่ครบเลยค่ะ ที่จริงรูปเยอะมากแต่เราเลือกมาลง ร้านเยอะมากจริงๆ นั่งรถแดงกลับมาตั้งหลักที่บ้านเพราะพรุ่งนี้จะขึ้นดอยแล้ว กลับไปบ้านก็ได้ชิมขนมจีนน้ำเงี้ยว อีกซิกเนอเจอร์เด็ดของเชียงใหม่ ก็ยังไม่ใช่แนวอยู่ดี เอาเป็นว่าได้ชิมแล้วอีกละกันเนอะ ทีนี้เราก็จัดของเตรียมจะไปขึ้นเขา ต้องเอาไปน้อยที่สุด เบาที่สุด เพราะต้องแบกเป้ แบกน้ำ แบกถุงนอน แบกเต๊นท์ขึ้นไปโดยพี่เต๊าจะร่วมเดินทางไปกับพวกเราด้วย ส่วนเพื่อนที่บอกว่าจะตามมา สรุปนางเทจ้านางไม่มา เลยไปกันแค่นี้ บนเขาจะไม่มีอะไรเลยค่ะ เราต้องเอาอาหารไปเอง เราเลยเตรียมพวกมาม่ากระป๋อง ขนมปัง นม น้ำไปให้พอสำหรับหนึ่งวันหนึ่งคืน เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วยนะ บนดอยไม่มีใครกอด

เรากะกันว่าจะเอาหมูไปปิ้งกินกันบนเขาค่ะ พี่เต๊าก็เป็นคนจัดการหมักหมู เตรียมเสื่อของกองกลางหม้อสนามบลาๆ ให้ วางแผนไว้ว่าเตรียมของเสร็จ โทรไปนัดรถตู้ที่จะไปอ๋มก๋อย ขึ้นไปดอยม่อนจอง รีบนอนจะได้ตื่นเช้าๆ ไป
แต่ไม่ค่ะ! แผนไม่มีจริง! กว่าจะนอนกันก็เกือบตีหนึ่งตีสอง รถออกตีห้า! เช้าไปอี๊ก ตื่นก็ตีสี่ครึ่งละ กว่าจะแต่งตัว อาบน้ำนี่ยังจำเป็นอยู่มั้ย ตอบเลยว่าไม่ รีบขนของ ออกมาหน้าปากซอย เอ๊ะลืมอะไรกันรึป่าว ตีสี่ที่ห้ารถโดยสารที่ไหนจะวิ่งเอ่ย พี่คนขับรถตู้ก็โทรมาตามยิกๆ แพทก็บอกอ่ออยู่บนรถกำลังไปค่ะพี่ ความจริงๆ รถสักคันยังไม่มี แต่โชคช่วยมีแท็กซี่หลงเข้ามา รีบขนของขึ้นรถบอกพี่ค่ะไปศูนย์วัฒนธรรมรรีบมาก นางเหมา 200 แต่นางขับรถเวอชั่นหอยทากมากค่ะทุกคน เร็วกว่านี้ได้ไหมค่ะพี่ เดี๋ยวให้อีก50 นางบอกไม่เกิน 7 นาทีถึง แต่ขับเร็วขึ้นเป็นเวอชั่นเต่าทองแทน เร็วขึ้นมานิดนึงจริงๆ จะทันมั้ย จะทันรึป่าววว จะได้ไปไหมได้ไปรึป่าว แทบจะร้องเพลงลุ้น ถึงรถตู้ ทุกคนยังรอเราค่ะ! เหมือนตอนรถทัวร์ขามาเลย ทริปนี้รู้สึกเป็นคนสำคัญจังค่ะมีแต่คนรอ (0899535152 เบอร์รถตู้ไปอมก๋อยค่ะเผื่อใครไป โทรไปนัดก่อนนะคะเค้าจะได้รอ)

นั่งรถจากตัวเมืองไปอมก๋อยใช้เวลา 2-3 ชมค่ะ เราไปถึงกันเกือบ 10 โมง ค่ารถคนละ 200 บาท อากาศหนาวนิดๆ เข้ามาในรถ สัญญาณโทรศัพท์อยู่ในเลเวลวิดิโอคอลกับแม่ได้ถือว่าโอเค แวะพักกินข้าวกลางทางกันนิดหน่อย แล้วนั่งต่อไปบนเขาอีก นั่งในรถก็ชมวิวไปฟังเพลงกันไป หลับไปสามตลบถึงหน่วยอนุรักษ์ท่องเที่ยวมูเซออะไรสักอย่าง เราต้องติดต่อขออนุญาติขึ้นไปบนเขา ต้องเหมารถขึ้นไป ไปกลับ 2500 เอ๊ะทำไมค่าใช้จ่ายเริ่มเยอะ แต่มาถึงแล้วจะไม่ไปก็กระไรอยู่ จ้างลูกหาบแบกน้ำแบกเต๊นขึ้นไป 600 ไปกลับ ทั้งหมดนี่หารกันค่ะ แต่ต้องแบกเป้สัมภาระของตัวเองนะคะ เพราะลูกหาบแบกได้ไม่เกิน 25-30 กิโลกรัม

บนอมก๋อย ดอยมูเซอมีหมูป่าด้วยค่ะ ตอนแรกไม่กล้าถ่ายกลัวมันวิ่งไล่ ชั้นจะโดนหมูป่าวิ่งไล่กลับบ้านก่อนขึ้นดอยไม่ได้นะ คนที่นี่บอกว่าเอาแม่พันธ์มาจากในป่า แล้วมันก็ออกลูกออกหลาน เลี้ยงเอาไว้ทำพิธีกรรม ไหว้ผี ตามประเพณีของมูเซอ

เข้าสู่กระบวนการพาตัวเองไปลำบากอย่างจริงจังละค่ะ ชั้นจะลำบากแล้ว จะกลับไปอวดแม่ เริ่มจากนั่งท้ายรถกระบะขึ้นไปบนเขา คนขับต้องเป็นคนพื้นที่ และชำนาญทางมากๆ สภาพทางแบบลาดชัน ยิ่งกว่าลูกรัง เด้งซ้ายเด้งขวา เด้งหน้าเด้งหลัง เด้งพร้อมๆ กันเอ้า! นึกว่าตัวเองเล่นกายกรรม แต่สนุกดีค่ะ มองวิวข้างทางเพลินๆ กันไป แต่ถ่ายรูปมาไม่ได้มันเด้งเกิ๊นนน ภาพสั่น

พอถึงจุดทางเดินเท้า นี่ล่ะคะของจริง เดินไปไม่ถึง 500 เมตร เริ่มถามลูกหาบพี่จะถึงยังอ่ะ ถามทุกๆ ครึ่งกิโล เราแบกเป้ที่หนักพอสมควร กับน้ำหนึ่งขวดค่ะ สภาพทางคือป่า ป่า และภูเขา ก้อนเมฆ ผ่านป่าสนหมายเลข1 (ตั้งเอง) ทางลงไม่เท่าไหร่ทางชันนี่แบบ กลางเต็นท์ตรงนี้เลยได้มั้ย แต่เกิดเป็นคนต้องอดทนไม่หวั่นแม้วันมามาก สู้ต่อไปค่ะ พี่ลูกหาบเหลาไม้ให้พวกเราคนละอัน จะได้เดินสะดวก

พี่ลูกหาบนี่แบกของเยอะมาก ตอนแรกเราคิดว่า 600 แพงจัง แต่เห็นพี่เค้าแบกขนาดนี้ยอมเห๊อะ เดินเร็วกว่าพวกเราอีกค่ะ บางทีพี่เค้าก็เดินนำไปก่อน เพราะเราพักกันบ่อยมาก ไม่มีใครเตรียมพร้อม เตรียมตัวออกกำลังกายมาก่อนสักคน

สภาพอากาศตอนเดินขึ้นยังโอเคอยู่ค่ะ อากาศเย็นๆ เหงื่อเลยไม่ออกสบายๆ ค่ะ เพื่อนเราใส่ขาสั้นเสื้อกล้าม ยังเอาอยู่ นางยังคงคอนเซปชั้นต้องสวยที่สุดในป่า

โฉมหน้าผู้สนับสนุนที่ซุกหัวนอนฟรีในทริปนี้ค่ะ

นี่ก็ข้ามเขากันมาหลายลูก ยอมรับว่าพักกันบ่อยมากๆ อยากเปิดวา์ร์ปไปถึงยอดเขา

ระหว่างทางจะมีต้นไม้แปลกๆ ต้นสนแปลก หรือมันไม่แปลก แค่ไม่รู้ชื่อ บางทีเราก็นึกถึงแต่จะไปให้ถึงปลายทาง จริงๆ ความสวยงามมันอาจจะอยู่ระหว่างทางก็ได้นะ

ระหว่างทางเพื่อนเราก็ทายปัญหาแฮรี่พอตเตอร์กันค่ะ พวกนางมโนประหนึ่งว่าตัวเองเป็นผู้เข้าแข่งขันรายการแฟนพันธ์แท้ตอนแฮรี่พอตเตอร์ เราคือฟังอยา่งเดียว เพราะดูไม่จบ พวกนางก็คุยกันไปตลอดทาง ก็เหนื่อยน้อยลง ไกล้จะถึงละฮึบๆ ขอพูดถึงสัญญาณโทรศัพท์หน่อยค่ะ เราใช้ Ais ดีที่สุดในอมก๋อยและมูเซอ กะว่าถึงม่อนจองชั้นจะอัพอินสตาแกรม จะแชทอวดเพื่อนค่ะ… บนเขาสัญญาณโทรศัพท์ไม่มีอยู่จริง… นอกจากที่โล่งๆ ซึ่งใช้ได้แค่ true ซึ่งใช้ได้แบบกระปิบกระปอย

ขอรวบรัดตัดตอนนิดนึง เดินข้ามเขามาสองสามลูกยังไม่ท้อเท่าอีภูเขาลูกนี้ค่ะ ภูเขากึ่งจะหัวโล้น ชันมากๆ คิดดูค่ะต้องแบกเป้ขึ้นไป มันจะเอียงๆ เหมือนหงายหลังตลอดเวลา ไม่มีต้นไม้ หญ้าก็จับไม่ค่อยอยู่ ตกลงไปนี่คงเป็นศพไร้ญาติ สิงต้นไม้อยู่ที่นี่แน่ๆ

เราสะพายกล้องถ่ายภาพตลอดทางค่ะจนในที่สุดก็ถึงแล้ว ดอยม่อนจองเดินมาเกือบ 8 กิโล ตรงนี้เรียกว่าสนามกอล์ฟค่ะ ไม่ต้องสืบว่าชื่อได้มาแต่ใด โล่งมากอยากกางเต็นตรงนี้ กลางคืนดูดาวต้องสวยมากแน่ๆ แต่พี่ลูกหาบบอกไม่ได้ เค้าห้าม ต้องเดินลงไปกางข้างล่างอีกนิดนึง

ถึงยอดดอยม่อนจองแล้ว ประกาศให้โลกรู้นะว่าชั้นมาแล้ว กรีดโบกธงแปปป (มาถึงนี่พร๊อบต้องพร้อมนะ ถ่ายรูปสำคัญที่สุด) ผ่านจุดที่เรียกว่าซากุระม่อนจอง ดอกสีชมพูเหมือนซากุระที่ญี่ปุ่นเลย ตรงจุดกลางเต็นท์ ต้องเดินลงไปนิดนึง ไม่ใหญ่มากค่ะ เป็นป่า มีลานกว้างๆ เหมาะกับกลางเต็นท์เกิน 5 กลุ่ม ซึ่งทริปที่เรามามีแค่สองกลุ่มเองรวมกลุ่มเรา แต่นี่ละค่ะที่ต้องการ ไม่มีผู้คนวุ่นวาย ไม่มีหรอกเต๊นท์ที่กางเรียงกันเป็นตับ จนนึกว่ามาสัมมนาปลูกป่าบนยอดดอย ความสงบล้วนๆ ทั้งภูเขามีกันอยุ่ไม่เกิน10 คน มีลำธาร พี่ลูกหาบบอกน้ำใช้ดื่มกินได้ มีห้องน้ำเก่าๆ อยู่ห้องนึงค่ะ สภาพอย่าเรียกว่าห้องน้ำเลย ไม่มีประตู ไม่มีไฟ มีแต่ถังน้ำกากๆ กับโถนั่งเก่าๆ เหมาะสำหรับถ่ายหนักอย่างเดียว ไม่คิดจะถ่ายรูปกลับมาเก็บไว้ในความทรงจำก็พอ นับว่าไม่มีละกันนะ

รูปหมู่เดี๋ยวไม่รู้ว่ามาด้วยกัน ไม่ต้องสงสัยว่าพี่เต๊าไปไหน นางเป็นคนถ่ายค่ะ

เรากางเต๊นท์กันเสร็จ พี่เต๊ากับลูกหาบก็ช่วยกันย่างหมูโดยใช้วิชาลูกเสือที่ได้ร่ำเรียนมาสมัยป.สี ส่วนเรากับเพื่อนสองคนปีนเขาขึ้นมาถ่ายรูปด้านบนค่ะ

นางมโนว่ามาเดินแฟชั่นกลางขุนเขา

เราอาจะถ่ายรูปภูเขาไม่ค่อยสวยนะคะ แต่ข้างบนสวยมากจริงๆ เดินมาถึงคือหายเหนื่อยอยากอยู่ตรงนี่นานๆ

ถ้าได้มาถ่ายรูปคู่ด้วยกันตรงนี่คงจะดีเนอะ ตอนกลางคืนอากาศหนาวค่ะ เราก่อกองไฟ นั่งกินหมูย่างกับมาม่าโหฟิน ไม่มีไฟก็ได้ฟิลไปอีกแบบนะ นั่งล้อมวงคุยกัน แลกเปลี่ยนกัน พี่ลูกหาบก็มานั่งคุยกับเราด้วยค่ะ พูดไทยไม่ชัด เราก็สเตปเดิมค่ะแปลได้บ้างไม่ได้บ้างตลกดี แต่ไม่ไ่ด้ถ่ายรูปมา ก็มันมืดอะ นี่มันเวลานั่งดื่มด่ำกับธรรมชาติป่ะ เวลาพูดออกมาเป็นไอด้วยนะแก ได้ฟิลเกาหลีสุดๆ ลูกหาบนี่ทำทุกอย่างค่ะ ช่วยกางเต็นท์ช่วยก่อกองไฟ หาน้ำ นอนป่าได้โดยไม่ต้องมีเต๊นท์ เสื้อกันหนาวก็บาง มีแค่ผ้าห่มหนึ่งผืน นับถือเลยจริงๆ แต่เราให้เสนอให้เค้ามานอนกับเต๊นท์ พี่เต๊าเค้าไม่เอาค่ะเค้าบอกเป็นคนพื้นเมืองชินแล้ว อยากนั่งดูดาวค่ะแต่พอดีต้องที่พักต้นไม้บังทำให้เห็นไม่ชัดเจน เสียดายมาก เรานั่งกันอยู่ไม่ดึกมากค่ะเพราะอากาศหนาว รีบสุมหัวกันเข้าเต็นท์ไปนอนคุยกัน นัดแนะกับลูกหาบว่าพรุ่งนี้จะไปดูพระอาทิตขึ้นที่หัวสิงฆ์ เช้ามาค่ะหนาวหนาวมาก หนาวจนลุกไม่ไหว! ซึ่งต้องเดินไปหัวสิงฆ์ราวๆ สามกิโลไปกลับ6โล เดาว่าจะกลับมาเก็บของแล้วลงไปไม่ทันรถ เลยต้องล้มเลิกความตั้งใจไป เสียดายไปอี๊ก แต่เราจะขึ้นไปถ่ายรูปตรงสนามกอล์ฟ และทะเลหมอกแทนค่ะ

เช้าๆ หนาวๆ ต้องกินกาแฟกับโอวัลตินอุ่นๆ นะ ขึ้นมาที่สูงๆ ยังงี้มันไม่ได้แค่พาตัวเองมาลำบากนะ บางทีระหว่างทางเราก็เจออะไรที่ไม่คุ้นตา เห็นในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ใช้เวลากับตัวเองมากขึ้น บางคนถึงออกค้นหาตัวเองผ่านการเดินทาง แล้วก็ได้อะไรกลับไปจริงๆ วิวแบบนี้หาไม่ได้ในกรุงเทพ หาไม่ได้ในโลกความเป็นจริงที่เราอยู่ คุ้มกับที่ลำบากเดินขึ้นมาไกลค่ะ หายเหนื่อยจริงๆ

พร้อบแผนที่ก็ต้องพกมานะ จะได้คูลๆ นั่นไงแกเห็นเทือกเขาหิมาลัยมั้ย (มโน)

ไม่ต้องสงสัยทำไมรูปนางน้อยมาก นางไม่ชอบถูกถ่ายรูป แต่เป็นคนถ่ายให้ตลอดทริป

ไหนๆ ก็ไม่ให้กางเต็นท์ละ ขอถ่ายรูปหน่อยเหอะ ฟิลลิ่งมา

พร๊อบต้องแน่น

ยินตรงนี้แล้วรู้สึกว่าโลกกว้างมากๆ ทะเลหมอกแบบนี้ เสียบหูฟัง เปิดเพลง

ถึงเวลากลับแล้วว เราใช้เวลาเดินกลับทางเดิมเร็วขึ้นค่ะ เหนื่อยน้อยลง กำลังเดินๆ อยู่ในป่าเสียงโทรศัพท์ดัง เพื่อนเราโทรเข้ามาค่ะ ดีใจน้ำตาจะไหลมีสัญญาณแล้ว คำแรกที่ได้ยินคือ อยู่ไหน แม่จะแจ้งตำรวจแล้ว ที่หายไป เงิบไปอี๊ก เราโทรบอกแม่ก่อนขึ้นเขาละค่ะว่าจะมาม่อนจอง แต่แม่เข้าใจผิดคิดว่าไปเช้าเย็นกลับวุ่นวายกันไปทั้งบ้านโทรหาคนนู้นคนนี้ว่าลูกสาวหายไป… เยี่ยมไปเลย เรารีบโทรไปเคลียกับแม่เลยว่าสบายดียังไม่ตกเขาน้าแม่ ขากลับนั่งรถกระบะลงเขาเหมือนเดิมค่ะ แต่รอบนี้เราเสียบหูฟังเปิดเพลงเก็บบรรยากาศและความทรงจำให้ได้มากที่สุด ลงมาถึงศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจอง ได้เจอกับพี่นะปีค่ะ น่ารักใจดี เค้าสอนภาษามูเซอเราด้วย

ตีเปาะกอหล้าเล้อ ไว้จะกลับมาใหม่, ก่าแต่โล หนาวมาก, เก๊าแมตีเปาะโพลาเลอ ทำตามสัญญาแล้วนะ แต่เราลงมาไม่ทันรถรอบที่จะเข้าตัวเมืองค่ะ ไม่เคยจะทันอะไรเลยทริปนี้ ต้องเหมารถของคนในมูเซอไปส่งที่ฮอด แล้วต่อรถจากฮอดมาตัวเมืองเชียงใหม่โดยรถเมล์ คนละ 49 บาท ผ่านประตูท่าแพยอดฮิตที่คนชอบมาถ่ายรูปเพราะกลัวคนจะไม่รู้ว่ามาเชียงใหม่

ลงมาจากเขาได้ต้องกินค่ะ! ร้านนี้เลยสลัดคุณนาย ร้านตกแต่งดีอาหารอร่อย เค้าจะมีผักสลัดให้เราเลือกค่ะ แล้วก็เลือกท้อปปิ้งน้ำสลัดเอง อร่อยมาก อยู่ในซอยวัดอุโมงค์ เดินเข้าไปหลายซอยหน่อยค่ะ

อีกวันเรายังคงไม่กลับบ้านค่ะ ! ต่อให้แม่โทรมาตามเราก็ไม่กลับ ต่อให้อีกวันมีสอบเราก็ยังอยู่ค่ะ วันนี้เรามาเดินนิมมานกับ think park อีกรอบเพื่อเก็บภาพค่ะ บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศเลย

ก่อนกลับบ้านเราไปคาเฟ่แมวในซอยวัดอุโมงค์มาอีกค่ะ ซอยนี้ร้านน่านั่งเยอะมาก ชื่อร้าน Maewmoth Cat Cafe ร้านไม่ใหญ่มากแต่ดูอบอุ่นดี อาหารไม่แพงด้วยค่ะ แมวเยอะแยะเลย แต่เราถ่ายมาได้แค่นี้

เย็นๆ เราก็กลับมาเก็บเสื้อผ้าเตรียมกลับกรุงเทพกันค่ะ บอกลาเซฮายเชียงใหม่เจ้า นั่งรถไปที่อาเขต จะมีรถทัวส์มากมายให้คุณเลือกใช้บริการ แต่เราจนมากค่ะ! ขอรถที่ถูกที่สุด ก็ได้มาเป็นVIP รอบสามทุ่มราคา 560บาท แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ะ มีขนม มีน้ำแจกให้ มีห้องน้ำบนรถ สำหรับทริปนี้บางคนอาจมองว่ามันลำบากตรงไหน คนอื่นลำบากกว่านี้อีก แต่ละคนคิดไม่เหมือนกันค่ะ เราไม่เคยมาทำอะไรอย่างนี้มาก่อน เชียงใหม่เป็นเมืองคนใจดี เมืองน่ารัก ม่อนจองเป็นดอยที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวค่ะ เราลองเปลี่ยนมาที่แบบนี้บ้างดีกว่าไปที่โหลๆ ที่ใครๆ ก็ไปเชคอินกัน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้บุกเบิกค่ะ เรามาหาประสบการณ์ที่นี่ มาเรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยเจอ มาใช้ชีวิตกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน มาหาเพื่อนใหม่ ซึ่งเราได้เพื่อนเยอะมากจากทริปนี้ อยากจะบอกค่ะว่ามิตรภาพมันเกิดขึ้นง่ายๆ แค่ลองทักใครสักคนดู แต่โชคดีไมได้เกิดขึ้นกับทุกคนค่ะ เราต้องรู้จักคัดกรอง ดูให้ดีก่อนจะเชื่อใจใคร ซึ่งเราโชคดีมากที่ได้เจอเพื่อนดีๆ ในทริปนี้

**ดอยม่อนจอง เปิดให้นักท่องเที่ยวมายลโฉมในเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ เท่านั้น การขึ้นดอยม่อนจอง จะต้องมีเจ้าหน้าที่เป็นคนนำทางขึ้นไปเที่ยวทุกครั้ง ไม่สามารถขึ้นเองเองได้ อีกทั้งก่อนขึ้นก็จะต้องติดต่อขออนุญาตกับทาง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หรือ สำนักงาน ททท. ภาคเหนือ เขต 1 โทรศัพท์ 0-5324-8604, 0-5324-8607, 0-5324-1466 ก่อนด้วย การเดินทางไป ดอยม่อนจอง ควรไปเป็นคณะเล็กๆ เพื่อจะได้ไม่รบกวนธรรมชาติจนเกินไป สำหรับเวลาในเวลาในการเดินทางขึ้น ดอยม่อนจอง นักท่องเที่ยวควรใช้ประมาณ 2 วัน 1 คืนค่ะ


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ