
เที่ยวเชียงรายหน้าฝน 3 วัน 2 คืน เติมความสดชื่น ฟีลดีไม่แพ้หน้าหนาว
5,372 ครั้ง
31 ส.ค. 2566
5,372 ครั้ง
31 ส.ค. 2566
เชียงราย ใครว่าเที่ยวได้แค่หน้าหนาว เพราะในช่วงหน้าฝนนอกจากจะบรรยากาศดีและชุ่มฉ่ำแล้ว สถานที่ต่างๆ ยังเขียวขจี แถมยังมีหมอกออกมาให้เห็นอีกด้วย อีกทั้งยังเหมาะสำหรับคนที่อยากนอนกลางอากาศเย็นๆ แต่ไม่หนาวจัด ซึ่งทริปเก็ทเตอร์ได้ไปพิสูจน์มาแล้วว่า เชียงรายในช่วงกรีนซีซั่นดีงามแบบสุดๆ ว่าแล้วก็ไม่รอช้าตามไปเที่ยวเชียงรายหน้าฝน 3 วัน 2 คืน เติมความสดชื่น ฟีลดีไม่แพ้หน้าหนาวกัน
เราเดินทางไปเชียงรายกันด้วยการนั่งเครื่องบินจากสนามบินดอนเมือง โดยเรานั่งไฟลท์เช้ากันตั้งแต่เวลา 06.50 น. กันเลย เพราะจะได้มีเวลาเที่ยวกันแบบเต็มๆ วัน ใช้เวลาเดินทางราวๆ ชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงรายกันแล้ว อีกด้วย ซึ่งทริปนี้เราเลือกเช่ารถจากสนามบินขับเที่ยวกันแบบสบายๆ โดยภายในสนามบินมีเคาน์เตอร์และบริษัทให้เช่ารถอยู่ สามารถเดินเข้าไปติดต่อได้เลย
ออกจากสนามบินแล้ว เราก็ปักหมุดไปที่แรกของทริปนี้กันเลย นั่นก็คือ วัดร่องขุ่น วัดดังของเมืองเชียงรายที่นอกจากจะโด่งดังจนมีนักท่องเที่ยวชาวไทยมาเช็คอินเยอะแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่แวะเวียนเข้ามาแทบจะตลอดๆ เลยด้วย ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะรู้วัดร่องขุ่นกันในชื่อของ วัดขาว (white temple)
มาถึงแล้วก็ต้องมาถ่ายรูปเช็คอินกันที่มุมไฮไลท์กันสักหน่อย นั่นก็คือมุมทางเดินด้านหน้าอุโบสถของวัด โดยมุมนี้เป็นการจำลองทางเดินผ่านเหนือขุมนรก ซึ่งจะมีมือนับร้อยๆ ยื่นขึ้นมา บอกเลยว่าน่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ (แต่แอบกระซิบว่ามุมนี้อาจจะต้องรอต่อคิวถ่ายรูปนิดหน่อยนะ เพราะคนเยอะมากๆ)
ในส่วนของอุโบสถมีพระพุทธรูปประธานที่ประดิษฐานเหนือบัลลังก์ดอกบัว แต่ด้วยความที่ด้านในวิหารไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ถ้าใครอยากชมความสวยงามต้องมาด้วยตัวเองแล้วนะ ถัดออกมาจากอุโบสถจะเป็นพื้นที่ด้านหลัง ซึ่งก็มีความสวยงามและประณีตไม่แพ้ด้านหน้าเลย ถ่ายรูปสวยๆ ได้อีกเพียบ
เยี่ยมชมอุโบสถกันไปแล้ว เดินเรื่อยๆ มาที่ด้านหลังจะเป็นที่ตั้งของ ถ้ำศิลป์ (cave of art) จุดเช็คอินแห่งใหม่ของวัดร่องขุ่น ที่มีระยะเวลาสร้างยาวนานกว่า 6 ปี แถมยังเพิ่งเปิดให้เข้าชมได้ไม่นาน โดยค่าเข้าจะอยู่ที่คนละ 50 บาทเท่านั้น สามารถซื้อตั๋วได้จากบริเวณด้านหน้าทางเข้าถ้ำเลย
เมื่อเข้าสู่ภายในถ้ำ สิ่งแรกที่สัมผัสได้เลยก็คือ ความสงบ เงียบ และความสวยงามของงานศิลปะปูนปั้น ซึ่งทางเดินภายในถ้ำจะเป็นทางยาวมีโถงเล็กและใหญ่สลับกัน ในส่วนแรกเป็นการจำลองโลกบาดาลที่มีสัตว์น้ำน้อยใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นปลา เต่า ปะการัง เน้นการประดับไฟเป็นสีโทนเย็น
โถงถัดมาเริ่มเปลี่ยนความรู้สึกเป็นโทนร้อนที่มีทั้งไฟสีแดง เหลือง ชมพู อีกทั้งรูปแบบของปูนปั้นยังเปลี่ยนเป็นอสูร สัตว์อันตราย รวมทั้งภูติผีแบบแฟนซี นอกจากนี้ยังมีการสื่อถึงเรื่องราวที่ล้อไปตามยุคสมัยอีกด้วย ทั้งสถาการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ตัวละครในภาพยนตร์ดัง รวมไปถึงบุคคลในเหตุการณ์สำคัญๆ ต่างๆ โดยมีแนวคิดที่สื่อถึงความทุกข์หรือทุกขภูมิ
เดินมาเรื่อยๆ เข้าสู่โถงถัดมา เป็นโถงที่ได้จำลองความสงบและสวยงามของถ้ำหินงอกหินย้อย โดยมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยดอกบัว เหล่าหินงอกหินย้อย และไอหมอก ซึ่งจุดนี้สามารถกราบสักการะพระพุทธรูปได้ อีกทั้งทั่วทั้งโถงยังมีปูนปั้นรูปเทวดาหลายองค์อยู่ตามมุมต่างๆ ให้ได้ชมความสวยงาม ซึ่งสื่อถึงความสงบและความสวยงามของนิพพานหลังหลุดพ้นจากความทุกข์มาแล้ว
ถัดมาจากโถงพระพุทธรูป เป็นโถงสุดท้ายที่เน้นโทนสีขาวและสีทองเพื่อสื่อถึงสรวงสวรรค์ และมีบ่อน้ำตกขนาดเล็กที่มีพระพุทธรูปปูนปั้นและพระสาวกซ้ายขวาให้กราบสักการะก่อนออกจากถ้ำ
นอกจากนี้บริเวณด้านหน้าทางเข้าและด้านหลังยังมีน้ำตกจำลองขนาดใหญ่ พร้อมด้วยปูนปั้นตัวละครแบบแฟนซีให้ได้เดินชม พร้อมกับใช้เป็นมุมถ่ายรูปเก๋ๆ อีกด้วย
ภายในพื้นที่ของวัดร่องขุ่น ยังมีจุดต่างๆ ให้เดินชมความสวยงามและไหว้พระอีกหลากหลาย ซึ่งแต่ละจุดสวยอลังการไม่แพ้กัน
ด้านหลังของวัดยังเป็นที่ตั้งของอุทยานพระพิฆเนศสีทองอร่าม พร้อมกับสะพานข้ามน้ำที่มีลวดลายสุดวิจิตรอลังการ
ไหว้พระเปิดทริปกันเรียบร้อย เราก็มาเช็คอินแลนด์มาร์กเชียงรายสุดฮิตกันต่อที่ สิงห์ปาร์ค เชียงราย ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งโลเคชั่นที่ไม่ว่าใครมาเที่ยวเชียงรายก็ต้องแวะมาใช้เวลาสนุกๆ กันให้ได้ และมาถึงสิงห์ปาร์ค เชียงรายทั้งที สิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือถ่ายรูปคู่กับสิงห์ตัวใหญ่ ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้า แถมยิ่งมาในช่วงเช้าๆ แบบนี้ฟ้ากำลังใสและแสงก็ดี ถ่ายรูปออกมาสวยสุดๆ
การเดินทางในสิงห์ปาร์ค เชียงรายจะมีอยู่ 2 แบบหลักๆ นั่นก็คือนั่งรถรางแบบฟาร์มทัวร์ และเช่ารถกอล์ฟขับเที่ยว ซึ่งสามารถติดต่อสอบถามได้จากด้านหน้าทางเข้าสิงห์ปาร์ค เชียงรายได้เลย และในรอบนี้เราเลือกการเช่ารถกอล์ฟ เพราะนอกจากจะสามารถขับเที่ยวแบบเป็นส่วนตัวแล้ว ยังสามารถแวะพักตามจุดต่างๆ ได้แบบสบายๆ อีกด้วย
ขับตามเส้นทางมาเรื่อยๆ เราก็จะเจอกับโลเคชั่นสวยๆ ตามรายทางมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้าแดงที่มีหุ่นฟางกระต่ายยักษ์ ซึ่งหุ่นฟางจะเปลี่ยนไปตามปีนักษัตรในปีนั้นๆ
ส่วนฝั่งตรงข้ามกับทุ่งหญ้าแดง เป็นบ่อหงส์ที่เป็นทะเลสาบใหญ่มีแนวเขาเป็นฉากหลัง และในทะเลสายมีเหล่าหงส์ขาว หงส์ดำ รวมทั้งปลาหลากหลายชนิด แถมยังมีร้านกาแฟดริปให้บริการด้วย สั่งกาแฟแล้วมานั่งเก้าอี้บาร์ริมทะเลสาบ มู้ดดีสุดๆ ไปเลย
นอกจากนี้ยังมีสวนดอกไม้ ไร่ชา รวมทั้งอุโมงค์ต้นไม้สุดร่มรื่นให้แวะถ่ายรูปกันแบบรัวๆ บอกเลยว่าแต่ละจุดให้ฟีลที่แตกต่างกันออกไป แถมยังได้รูปเก็บไว้อัปลงโซเชียลเพียบ!
ขับรถตามเส้นทางมาเรื่อยๆ เราก็มาถึงสวนสัตว์ โดยสวนสัตว์ของสิงห์ปาร์ค เชียงราย จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือส่วนที่เป็นสัตว์ใหญ่ โดยจะมีทั้งม้าลาย ยีราฟ และวัววาตูซีที่มีเอกลักษณ์อยู่ตรงเขาที่มีรูปทรงสวยงาม ซึ่งเราสามารถให้อาหารได้แบบใกล้ชิด โดยราคาของหญ้าจะอยู่ที่กำละ 50 บาท
อีกส่วนจะเป็นโซนมินิซู ที่ได้รวบรวมเอาสัตว์เล็กนานาชนิดให้ได้ชมความน่ารักกันแบบใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายที่แค่เราเดินไปหา น้องก็มายืนรอขอแครอทกันเพียบ หนูแกสบี้ตัวจิ๋ว แพะแคระ ม้าแคระ ไปจนถึงคาปิบาร่า และอื่นๆ อีกหลายชนิด เรียกได้ว่ามาจุดเดียว แต่เดินได้แบบเพลินๆ กันเลย
เที่ยวตามจุดต่างๆ กันไปแล้ว เราพักมากินมื้อกลางวันกันที่ ภูภิรมย์ ร้านอาหารกลางไร่ชาที่ตั้งอยู่ภายในสิงห์ปาร์ค เชียงราย ตัวร้านเป็นแบบโอเพ่นแอร์ ตั้งอยู่บนเนินที่สามารถมองเห็นวิวความกรีนได้แบบรอบด้าน แถมยังมีโซนให้เลือกอย่างโซนโถงด้านใน โซนริมระเบียง และโซนที่เราเลือกอย่างโซนเอาท์ดอร์ที่มองเห็นภูเขาได้แบบเต็มๆ
เมนูอาหารของร้านเน้นเป็นอาหารไทยและเมนูอาหารเหนือที่หลากหลาย แต่ที่มาแล้วแนะนำให้ลองเลยก็คือ ไก่ย่างภูภิรมย์ ไก่ย่างหอมๆ เนื้อนุ่ม พร้อมกับน้ำจิ้มสูตรเด็ด เมนูกุ้งผัดใบชาทอดกรอบ ที่ทั้งหอมใบชาและได้รสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ มีกุ้งตัวใหญ่และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ต้มยำปลาคังสุดจัดจ้าน และเมนูอาหารเหนืออย่างออเดิร์ฟเมืองที่เสิร์ฟมาแบบจัดเต็มทั้งไส้อั่ว แคบหมู หมูยอ ผักนึ่ง น้ำพริกหนุ่ม และเมนูลาบหมูคั่ว ที่หอมเครื่องเทศแบบเฉพาะของลาบเหนือ
จัดอาหารไปแล้ว ก็ต้องมาต่อของหวาน เดินมาจากร้านภูภิรมย์ไม่ไกลเป็นส่วนของร้าน ชาไทย ร้านขนมที่ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นได้แบบลงตัวและกลมกลืนไปกับบรรยากาศธรรมชาติ ซึ่งตัวร้านจะตั้งอยู่บนเนินเล็กๆ ที่หันออกสู่ไร่ชาแถมยังเห็นวิวทะเลสาบและภูเขาได้แบบพาโนราม่ากันเลย มาพร้อมกับโซนที่นั่งที่มีทั้งโซนอินดอร์ห้องแอร์ฉ่ำๆ และโซนเอาท์ดอร์ที่เป็นบาร์นั่งห้อยขามองวิวสบายๆ
เมนูของร้านจะเน้นเป็นเครื่องดื่มเมนูชา โดยเฉพาะชาไทยที่นำไปผสมผสานกับรสชาติของนมหลากหลายชนิด ไปจนถึงชาดำและชาผลไม้ อีกทั้งยังมีขนมไสตล์ญี่ปุ่นอย่างดังโงะ วาราบิโมจิ และอื่นๆ ให้ได้เลือกมาลิ้มลองความอร่อยกันอีกหลากหลาย
นอกจากนี้ด้านข้างของร้านชาไทย ยังมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ อย่างทางเดินสีขาวที่ทอดยาวออกไปในไร่ชาพร้อมกับวิวทะเลสาบด้วยนะ
เติมพลังกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาทำกิจกรรมกันต่อ เพราะนอกจากร้านอาหาร จุดถ่ายรูป แล้วที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย ยังมีกิจกรรมให้ทำกันแบบจัดเต็ม โดยเฉพาะกิจกรรมแบบแอดเวนเจอร์ ซึ่งอย่างแรกที่เราเลือกทำก็คือขับรถ ATV ในไร่ชา ราคาจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับรูปแบบเส้นทาง ซึ่งครั้งนี้เราเลือกขับแบบจัดเต็มแบบ Adventure Rideกันไปเลย ราคาจะอยู่ที่ 800 บาท และก่อนที่เราจะขับ ATV ทางพนักงานที่มีความชำนาญจะมาแนะนำวิธีการขับเบื้องต้นให้กับเราก่อน ปลอดภัยหายห่วง
เส้นทางการขับจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละช่วง มีทั้งพื้นถนนปกติ พื้นถนนแบบดินแดง พื้นที่เป็นเนินเขาลูกเล็กๆ สลับกับพื้นที่ของไร่ชา และต้องบอกเลยว่าระหว่างทางที่ขับในไร่ชาบรรยากาศสองข้างทางนอกจากจะดีแล้ว ยังเห็นวิวสวยๆ อีกด้วย
ตะลุยเส้นทางพื้นราบกันไปแล้ว เพื่อความครบรสเราก็มาต่อกันกับ Zip Line ที่มีความสูงเท่ากับตึก 8 ชั้น และมีระยะทางกว่า 400 เมตร แถมภาพด้านล่างก็โล่งเตียนแบบไม่มีอะไรมากั้น ซึ่งก่อนขึ้นไปที่ชั้นปล่อยตัว จะมีพนักงานสวมอุปกรณ์เซฟตี้ให้เสร็จสรรพ และราคาจะอยู่ที่ 300 บาท/รอบ แอบกระซิบว่า Zip Line ของที่นี่เป็นแบบคู่ ใครอยากเล่นพร้อมกับเพื่อน อยากกรี้ดไปพร้อมๆ กันก็จัดได้เลย
นอกจาก ATV และ Zip Line แล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีก ไม่ว่าจะเป็นปั่นจักรยานชมไร่ E Scooter ขับ E Mountain Bike หรือจะเป็นปั่นเรือหงส์สบายๆ ในทะเลสาบให้เลือกด้วย แถมในพื้นที่ของจุดบริการกิจกรรม ยังมีร้านอาหารแบบเอาท์ดอร์และร้านอาหารนานาชาติ รวมทั้งพื้นที่สนามหญ้าให้ได้ใช้เวลาในช่วงเย็นอีกด้วย
ใช้เวลาสนุกๆ ที่สิงห์ปาร์ค เชียงรายกันทั้งวันแล้ว เราก็กลับเข้าในตัวเมืองเพื่อไปหาอะไรกินในช่วงเย็นกันต่อ และด้วยความที่เรามาตรงกับวันเสาร์พอดีก็เลยมีถนนคนเดินในตัวเมือง หรือที่ชาวเชียงรายเรียกว่า กาดเจียงฮายรำลึก ให้ได้เดินหาของกินอร่อยๆ และของฝากเล็กๆ น่ารักกันแบบเพลินๆ โดยถนนคนเดินปกติแล้วจะเริ่มตั้งในช่วงเวลา 17.00 น. แต่ช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดจะเป็นช่วงหัวค่ำ เวลาประมาณทุ่ม – 2 ทุ่ม
ตลอดสองฝั่งของถนนคนเดินมีอาหาร ขนม และเครื่องดื่มให้เลือกกันแบบจัดเต็ม แถมเมนูบางอย่างก็เป็นเมนูที่หากินได้เฉพาะพื้นที่เท่านั้น อย่างข้าวปุกงา ที่เป็นของกินเล่นทำจากข้าวเหนียวตำผสมกับงาขี้ม่อน ย่างร้อนๆ แล้วเพิ่มความหวานด้วยน้ำผึ้งป่า อร่อยมากๆ
ด้วยความที่เดินถนนคนเดินกันจนใกล้เวลา 2 ทุ่ม อีกทั้งถนนคนเดินอยู่ใกล้กับหอนาฬิกาเชียงราย โลเคชั่นแลนด์มาร์กอีกแห่งที่ขึ้นชื่อและมีความเก๋คือในช่วงเวลา 19.00 น. 20.00 น. และ 21.00 น. ไฟที่หอนาฬิกาจะเปลี่ยนสีและมีเพลงบรรเลงดังขึ้น จนทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมารอชมความสวยงามกันแทบจะทุกมุมของวงเวียนรอบๆ หอนาฬิกา
เที่ยวกันมาตั้งแต่เช้าจนค่ำแล้ว ก็ได้เวลาเข้ามาเช็คอินที่พักในคืนแรก นั่นก็คือ The Heritage Chiang Rai ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองและยังอยู่ในเส้นทางที่เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้แบบสะดวกอีกด้วย ในส่วนของห้องพักนอกจากจะกว้างขวางแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ซึ่งครั้งนี้เราได้ห้องพักในราคาพิเศษผ่านการใช้ Voucher (ถ้าใครสนใจ สามารถซื้อ Voucher ห้องพักราคาพิเศษได้ที่ >> www.tripgether.com/รวมดีลท่องเที่ยว/the-heritage-chaing-rai-2 )
วันที่ 2 เราตื่นกันตั้งแต่เช้า เพื่อมารอกินของอร่อยกับร้านเด็ดของเมืองเชียงราย โดยร้านนี้เป็นร้านที่ไม่มีชื่อ แต่คนพื้นที่รู้จักกันในชื่อของ ปาท่องโก๋ แจ่มจันทร์ ตั้งอยู่ติดกับตลาดศิริกรณ์ ตัวร้านเป็นเพิงเล็กๆ พร้อมกับที่นั่งแบบบาร์ติดกับส่วนของครัว ถึงแม้ว่าร้านนี้จะไม่มีชื่อและเป็นเพียงร้านเล็กๆ แต่ก็มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บางช่วงถึงกับที่นั่งเต็มจนต้องรอต่อคิวกันเลยทีเดียว
ส่วนเมนูของร้านก็จะเน้นเป็นเมนูอาหารเช้าที่เราคุ้นชินกัน อย่าง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ชา กาแฟ ไปจนถึงไข่ลวก และโจ๊กหมูสับ แถมราคายังถูกจนน่าตกใจ ซึ่งโจ๊กที่เสิร์ฟมาแบบถ้วยใหญ่ ราคาแค่ 35 บาทเท่านั้น ปาท่องโก๋ก็ตัวละ 2 บาท บอกเลยว่าที่เราสั่งมาทั้งหมด ราคาอยู่ที่ 60 บาทเท่านั้น!
เติมพลังมื้อเช้ากันไปแล้ว ก็มาเที่ยวกันต่อ โดยในวันที่ 2 เราจะเน้นเป็นไหว้พระและเช็คอินคาเฟ่น่ารักๆ ในโซนตัวเมืองกันก่อน โดยวัดแรกของวันนี้ก็คือ วัดพระแก้ว วัดเก่าแก่และวัดสำคัญของเชียงราย อีกทั้งวัดพระแก้วแห่งนี้เป็นสถานที่ค้นพบพระแก้วมรกตหรือพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (องค์ที่ประดิษฐานในวัดพระแก้ว กรุงเทพฯ) โดยแต่เดิมพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์ ต่อมาถูกฟ้าผ่าจึงปรากฏเห็นเป็นพระพุทธรูปที่ทำจากแก้วสีเขียว (มรกต) และได้มีการอัญเชิญไปไว้ตามหัวเมืองต่างๆ ในภายหลัง
เมื่อเข้าสู่ภายในวิหาร ก็จะพบกับความสวยงามของพระพุทธรูปประธานที่กล่าวกันว่าเป็นพระพุทธรูปศิลปะแบบศิปปาละที่งดงามที่สุดในไทย อีกทั้งยังมีองค์พระแก้วจำลอง พร้อมกับลวดลายจิตรกรรม ลายแกะสลักตามมุมต่างๆ ให้ชมอีกด้วย
กราบพระกันแล้ว เดินทางมาไม่ไกลจากวัดพระแก้ว เป็นคาเฟ่สุดน่ารักที่เราเลือกแวะพักรองท้องกันแบบเบาๆ อย่าง Low Cal Cafe ซึ่งตัวร้านเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวขนาดเล็กๆ มาพร้อมกับการตกแต่งที่ให้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น
ภายในร้านถึงจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ให้บรรยากาศแบบอบอุ่นมากๆ แถมตามมุมต่างๆ ก็ยังใช้เป็นมุมถ่ายรูปน่ารักๆ อีกด้วย
เมนูของ Low Cal Cafe ก็จะเน้นเป็นเมนูที่มีแคลอรี่ต่ำตามชื่อของร้าน บอกเลยว่ามาที่นี่อร่อยแบบไม่ต้องรู้สึกผิดเลย และเมนูที่เราสั่งมาก็คือขนมปังเกลือญี่ปุ่น ที่ทั้งหอมและเนื้อนุ่มหนึบ รสชาติละมุนตัดเค็มหน่อยๆ กวีญามันน์ ขนมอบสัญชาติฝรั่งเศสที่มีความหอมและรสชาติความอร่อยเฉพาะตัว นอกจากนี้เรายังสั่งเมนูเครื่องดื่มอย่างชาเขียวและกาแฟที่ทางร้านใช้ส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพมาลองอีกด้วย
นั่งได้สักพักก็เริ่มหิวจริงจัง เราเลยแอบถามกับพนักงานที่คาเฟ่ว่ามาเชียงราย มีร้านอาหารแนะนำร้านไหนบ้าง พนักงานก็ตอบตรงกันว่าใกล้ๆ คาเฟ่มีร้านน้ำเงี้ยวป้านวล ซึ่งเป็นร้านที่คนพื้นที่ชื่นชอบในรสชาติกันแบบสุดๆ ว่าแล้วไม่รอช้าเราก็เลยเปิดแมพขับตามไปเลย
หน้าร้านจะเป็นต้นไม้ปกคลุมอยู่ แต่ที่เป็นจุดสังเกตก็คือ ทั้งตามข้างร้านและฝั่งตรงข้ามจะมีรถจอดอยู่หลายคัน พอเดินเข้าไปในร้านก็ต้องบอกเลยว่าคนเยอะมากๆ เต็มแทบทุกโต๊ะ ในส่วนเมนูของร้านมีเพียง 2 อย่างเท่านั้น คือน้ำเงี้ยว ที่สามารถเลือกได้ว่าจะเอาเป็นเส้นขนมจีนหรือเส้นก๋วยเตี๋ยว และเมนูอาหารไทยใหญ่อย่างข้าวกั้นจิ้น ซึ่งราคาก็น่ารักมากๆ น้ำเงี้ยวชามละ 35 บาท ส่วนข้าวอยู่ที่ 15 บาทเท่านั้นเอง รสชาติต้องยกนิ้วให้เลย เพราะอร่อย เข้มข้น สมแล้วที่เป็นน้ำเงี้ยวสูตรเชียงรายที่คนเชียงรายยกนิ้วให้
พักครึ่งช่วงเช้าเรียบร้อย ก็ได้เวลาเที่ยวกันต่อ โดยช่วงหลังจากนี้เราจะเริ่มออกมานอกเมืองกันบ้างและสถานที่ต่อมาก็คือ วัดห้วยปลากั้ง วัดดังอีกแห่งหนึ่งของเมืองเชียงราย ที่มีไฮไลท์คือพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์สีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางขุนเขา
ภายในพื้นที่ของวัดมีจุดให้เยี่ยมชมความสวยงามและกราบไหว้อยู่หลัก 3 จุด ซึ่งเราเริ่มกันด้วยการเข้าไปกราบพระพุทธรูปประธานในวิหารสีขาว ที่มีลวดลายปูนปั้นสุดอลังการเป็นจุดแรก โดยระหว่างทางเข้าสู่วิหารยังมีบันไดพญานาคให้ได้แวะถ่ายรูปกันอีกด้วย
ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปองค์สีขาว พร้อมกับลวดลายปูนปั้นตามฝาผนังที่แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับทศชาติชาดก อีกทั้งตามเสาแต่ละต้นก็จะมีลวดลายที่วิจิตรแตกต่างกันออกไป
จุดที่ 2 อยู่ด้านข้างของวิหาร นั่นก็คือ พบโชคธรรมเจดีย์ ที่เป็นเจดีย์แบบศิลปะจีนที่มี 9 ชั้น มีบันไดทางเข้าเป็นรูปปั้นมังกรอยู่ 2 ด้าน
ด้านในของพระเจดีย์ ได้ประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมที่แกะสลักจากไม้จันทน์หอมให้ได้กราบขอพร อีกทั้งตามชั้นต่างๆ ยังมีองค์อวตารของพระโพธิสัตว์กวนอิม นับร้อยองค์อีกด้วย
ในส่วนของจุดที่ 3 ก็คือพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ใหญ่ โดยจุดนี้เราสามารถใช้รถรางของทางวัดที่มีให้บริการแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายนั่งขึ้นไปได้เลย โดยจุดขึ้นรถรางจะอยู่ด้านหน้าของวิหาร
พระโพธิสัตว์กวนอิมองค์นี้มีความสูงเทียบเท่าตึก 26 ชั้น ซึ่งเราสามารถซื้อบัตรขึ้นไปยังชั้น 25 และ 26 เพื่อชมวิวประตูมังกรและจิตรกรรมปูนปั้นแบบจีนได้ ราคาอยู่ที่คนละ 20 บาทเท่านั้น
จุดชมวิวประตูมังกรจะอยู่ที่ชั้น 25 โดยจะสามารถมองเห็นวิวของพื้นที่วัด พื้นที่ป่าและนาสีเขียว รวมทั้งแนวภูเขาที่มีหมอกปกคลุม
ชมวิวกันเสร็จแล้ว เราก็ลงมาด้านล่างกันต่อ ซึ่งถ้าใครอยากนั่งรถรางลงมาที่จุดเดิมก็สามารถขึ้นได้ที่ด้านข้างขององค์พระโพธิสัตว์ได้เลย แต่เราขออยู่ถ่ายรูปสวยๆ กันอีกสักหน่อยก่อนกลับ เลยเลือกที่จะเดินลงมาที่บันได โดยจุดนี้จะมีรูปปั้นมังกรสวรรค์สุดอลังการอยู่ทั้ง 2 ฝั่งของบันได บอกเลยว่ามุมนี้ถ่ายรูปสวยสุดๆ
ก่อนขึ้นปางขอนไปเช็คอินที่พักในคืนที่ 2 เราออกจากวัดห้วยปลากั้งมาไม่ไกล เพื่อมาแวะนั่งพักและซื้อกาแฟอีกสักแก้วที่ E – Ju Cafe คาเฟ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเล็กๆ มาพร้อมกับการตกแต่งให้ฟีลบ้านบนดอยที่อบอุ่น
เมื่อเดินเข้ามาในร้านจะได้พบกับน้ำตกจำลองขนาดใหญ่ที่มีความสูงเท่าตึก 3 ชั้น บอกเลยว่าอลังการสุดๆ แถมทั่วทั้งร้านยังมีทางเดินแบบสกายวอล์คที่ทอดยาวเหนือต้นไม้และบ่อน้ำตกให้ได้เดินเล่น โพสท่าถ่ายรูปสวยๆ อีกด้วย
ส่วนโซนที่นั่งของร้านก็มีให้เลือกเพียบ ทั้งด้านในตัวร้าน ที่นั่งแบบซุ้มส่วนตัว ที่นั่งแบบบาร์ และโซนห้องแอร์ ไม่ว่าจะมาคนเดียวหรือมาเป็นกลุ่มก็นั่งได้สบาย
ที่เป็นไฮไลท์อีกหนึ่งอย่างของที่นี่เลยก็คือ ที่นั่งที่สามารถมองเห็นวิวหมู่บ้าน ภูเขา และพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ใหญ่ของวัดห้วยปลากั้งได้ บอกเลยว่ามุมนี้คือดีสุดๆ เหมาะกับการนั่งปล่อยใจมากๆ
เที่ยวในเมืองกันแบบจัดเต็ม 2 วันแล้ว ก็ได้เวลาขึ้นดอยไปจัดเต็มความกรีนซีซั่นของเชียงรายกัน ซึ่งจุดหมายของเราก็คือ บ้านปางขอน โลเคชั่นที่นอกจากจะเป็นแหล่งปลูกกาแฟชื่อดังแล้ว ยังเต็มไปด้วยความสงบ ความอุดมสมบูรณ์ และวิถีชีวิตที่มีเสน่ห์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งระยะเวลาจากตัวเมืองมาที่นี่จะอยู่ที่ราวๆ ชั่วโมงนิดๆ และส่วนของเส้นทางก็เรียกได้ว่าขับรถมาได้ค่อนข้างสะดวกมากๆ
มาถึงปางขอนแล้ว ก็เลี้ยวเข้าไปที่ที่พักของเราในคืนที่ 2 คือ ไร่กาแฟครอบครัวมะ ที่พักสุดน่ารักที่ตั้งอยู่บนเนินเขากลางไร่กาแฟ ห้องพักของที่นี่มีเพียง 5 หลังเท่านั้น ซึ่งเสน่ห์ของไร่กาแฟครอบครัวมะอยู่ที่พี่เจ้าของสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง บนพื้นที่ไร่กาแฟที่เป็นที่ดินของครอบครัว เพื่อต้องการส่งต่อความสุขและความอบอุ่น รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวปางขอนที่ผูกพันกับการทำไร่กาแฟให้แก่ผู้เข้าพัก
ตามทางเดินไปยังที่พักจะมีต้นกาแฟที่มีผลอยู่เต็มต้นขึ้นอยู่ตลอดทาง สลับกับต้นไม้หลากหลายชนิด เดินไปเพลินๆ ก็ยิ่งสดชื่น เพราะมองไปทางไหนก็เขียวแบบสุดๆ
ห้องพักที่เราเลือกในทริปนี้คือหนึ่งในห้องไฮไลท์ของไร่กาแฟครอบครัวมะ นั่นก็คือบ้านพ่อมะ ซึ่งอยู่คู่กับบ้านแม่มะ ความพิเศษของบ้านพ่อมะและเแม่มะ คือเป็นบ้านที่อยู่ห่างออกมาจากส่วนห้องพักอื่นๆ ภายในห้องมีพื้นที่กว้างขวาง อีกทั้งยังมีอ่างอาบน้ำที่สามารถนอนแช่ พร้อมกับมองวิวภูเขาและม่านหมอกได้แบบเต็มๆ เท่านั้นยังไม่พอ เพราะบ้านพ่อมะ แม่มะ มีต้นนางพญาเสือโคร่งขึ้นอยู่หน้าบ้านเลยด้วย ถ้ามาในช่วงเดือนธันวาคม – มกราคม ก็จะได้ดื่มด่ำกับความสวยงามแบบเป็นส่วนตัวสุดๆ ซึ่งราคาของห้องพัก 2 ห้องนี้อยู่ที่ 2,990 บาท รวมอาหารเช้า
บ้านพ่อมะ มีทั้งส่วนที่เป็นระเบียงหน้าห้องที่สามารถออกมานั่งห้อยขาชมวิวได้แบบสบายๆ และในส่วนของภายในห้องพักเน้นการตกแต่งด้วยไม้และนอกจากจะกว้างขวางแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ไม่ว่าจะเป็นเตียงหลังใหญ่ โซฟาหลังเล็ก น้ำดื่ม รวมไปถึงรองเท้าใส่ในห้องที่ทำจากวัสดุธรรมชาติอีกด้วย
ห้องน้ำก็ดีงามไม่แพ้กัน เพราะมีทั้งอ่างอาบน้ำพร้อมกับกระจกบานใหญ่ที่ปิดเปิดได้ กระจกตั้งบานใหญ่ โต๊ะเครื่องแป้ง ฝักบัวแบบ Rain Shower รวมทั้งชุดคลุมอาบน้ำและไดร์เป่าผม
นอกจากนี้ทางไร่กาแฟครอบครัวมะยังมีบริการพิเศษสำหรับผู้เข้าพักอีกด้วย นั่นก็คือ เครื่องดื่มร้อนที่เสิร์ฟให้ถึงห้อง มีทั้ง ชาดอกกาแฟ ชาอัสสัม ชาคาโมมาย หรือจะเป็นกาแฟดริปร้อน และอเมริกาโนร้อน ซึ่งสามารถเลือกได้ตามความชอบเลย โดยเราเลือกเป็นชุดชาดอกกาแฟ ที่มีความหอมอ่อนๆ มีรสชาติเฉพาะตัว และที่สำคัญส่วนของดอกจะไม่มีคาเฟอีนผสมอยู่เหมือนในเมล็ด
เก็บกระเป๋า นั่งพักเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินขึ้นมาที่ส่วนของ Coffe Bar โดยส่วนนี้จะเป็นทั้งร้านกาแฟและห้องอาหาร ซึ่งร้านกาแฟของที่นี่มีทั้งเมนูกาแฟที่ใช้เมล็ดของทางไร่เอง และเมนูชาหลากหลายกลิ่นหลายรสชาติ และที่นั่งก็มีให้เลือกทั้งกด้านในโถง เอาท์ดอร์ที่เป็นลานด้านนอก และมุมใต้ต้นนางพญาเสือโคร่งสุดร่มรื่น แต่ไม่ว่าจะนั่งมุมไหนก็เห็นวิวภูเขาและหมู่บ้านที่อยู่บนดอยอีกลูกได้แบบพาโนราม่าฉ่ำๆ
อีกทั้งในช่วงเย็นทางไร่กาแฟครอบครัวมะ ยังมีชุดหมูกระทะให้บริการเป็นอาหารเย็นอีกด้วย ราคาอยู่ที่ชุดละ 459 บาท มีทั้งหมู หมูสามชั้น เต้าหู้ไข่ ลูกชิ้น ไส้กรอก วุ้นเส้น และผักนานาชนิด มาถึงโลเคชั่นฟีลดีแบบนี้ทั้งที ก็ต้องจัดมาเลยสักชุด นั่งมองวิวไป กินหมูกระทะไป แถมอากาศก็เย็นสบาย บอกเลยว่าฟินมากๆ
เช้าวันสุดท้าย ตื่นมาพร้อมกับความสดชื่นและชุ่มฉ่ำ เพราะตลอดทั้งคืนมาจนถึงช่วงเช้าตรู่มีฝนตกโปรยปราย ทำให้บรรยากาศที่ไร่กาแฟครอบครัวมะเย็นสบาย แถมยังมีหมอกออกมาให้เห็นกันด้วย
ออกมานั่งดูหมอก รับไอเย็นได้สักช่วงจนถึงช่วง 7.30 น. อาหารเช้าก็เสร็จพอดี ซึ่งเช็ตอาหารเช้าของไร่กาแฟครอบครัวมะจะเป็นทั้งชุด American Breakfast ที่มีทั้งขนมปังปิ้ง ไส้กรอก ไข่ดาว และผักสลัด พร้อมกับโจ๊กหมูสับ น้ำส้ม เท่านั้นยังไม่พอเพราะยังมีอะโวคาโดและแมคคาเดเมียที่เป็นผลผลิตออแกนิคจากทางไร่เอง ราดด้วยน้ำผึ้งป่าที่มีกลิ่นและความหวานที่เป็นเอกลักษณ์
มื้อเช้าเรียบร้อย ก็ต้องต่อด้วยการดริฟกาแฟชิลล์ๆ บอกเลยว่ามาถึงแหล่งที่ปลูกกาแฟคุณภาพทั้งทีต้องไม่พลาด ซึ่งเมล็ดกาแฟของไร่กาแฟครอบครัวมะ มีให้เลือกหลายแบบมากๆ ทั้งระดับการคั่ว กลิ่นและรสต่างๆ แถมทางพี่เจ้าของก็แนะนำการดริปได้แบบละเอียดสุดๆ
เช็คเอาท์ออกจากไร่กาแฟเรียบร้อย เวลาประมาณ 10 โมงนิดๆ แต่ยิ่งสายหมอกยิ่งลงจัดมาก เราเลยแวะที่ร้านกาแฟในหมู่บ้านกันก่อนที่ร้านกาแฟปางขอน ที่ตั้งอยู่ริมทางเข้าหมู่บ้านเลย ตัวร้านเป็นอาคารไม้ไผ่เล็กๆ ตั้งอยู่บนเนินเขา ทุกส่วนของร้านยังใช้วัสดุจากธรรมชาติแทบทั้งหมดเลยด้วย ให้กลิ่นอายบ้านเรือนของชาวเขาแบบสุดๆ
ที่นั่งในร้านก็จะเป็นโถงกว้างแบบโอเพ่น มองเห็นวิวไร่กาแฟและหมู่บ้านปางขอนได้แบบเต็มๆ
ลงจากปางขอนแล้ว ตอนแรกเรากะว่าจะแวะไปที่น้ำตกขุนกรณ์ แต่ทางอุทยานประกาศปิดการท่องเที่ยวในช่วงนี้พอดี เราก็เลยขับรถออกมาตามทางเรื่อยๆ แล้วเจอกับร้านอาหารที่เป็นร้านแพริมน้ำกรณ์ ซึ่งมีให้เลือกเยอะมากๆ และด้วยความที่เป็นเวลาช่วงกลางวันพอดี เราเลยเลือกกินมื้อกลางวันกันที่นี่ซะเลย
ที่นั่งของร้านเป็นแพแบบติดริมน้ำเลย เหมาะกับการมาพักกลางวัน นั่งฟังเสียงน้ำสุดๆ
เมนูอาหารจะเป็นเมนูอาหารไทย อาหารอีสาน อย่างส้มตำ ไก่ย่าง ยำ รวมทั้งอาหารตามสั่ง แถมราคาก็เป็นราคาเหมือนกับร้านอาหารทั่วๆ ไปเลย แต่ถ้าเทียบกับบรรยากาศแล้ว ต้องบอกเลยว่าคุ้มมากๆ
มาริมลำธารทั้งที จะให้ดีก็ต้องลงเอาขาไปแช่ผ่อนคลายสักหน่อย
เติมพลังกันแล้ว ก็ลุยกันต่ออีกหน่อยด้วยการขับรถขึ้นไปที่ดอยข้างๆ กับปางขอน นั่นก็คือดอยแม่มอญ ซึ่งเส้นทางอาจจะแคบกว่าปางขอนสักหน่อย แต่เส้นทางก็ค่อนข้างสะดวกเลย แถมระหว่างทางยังผ่านถนนที่มีสายน้ำไหลเบาๆ อย่างอ่างเก็บน้ำห้วยส้านด้วย อันซีนสุดๆ
หลังจากขับรถมาได้ราวๆ 40 นาที เราก็ถึง Rung Coffee คาเฟ่สุดท้ายของทริปนี้ ซึ่งต้องบอกเลยว่าคาเฟ่นี้ตั้งอยู่บนจุดที่สูงมากของดอยแม่มอญ ทำให้เรามองเห็นวิวดอยอื่นๆ รวมทั้งหมู่บ้านได้แบบเต็มๆ ตาเลย (แต่แอบกระซิบว่าเรามาในช่วงที่ทางร้านกำลังก่อสร้างพอดี ตัวร้านเลยอาจจะยังไม่เข้าที่เท่าไหร่นะ)
เมนูของ Rung Coffee มีให้เลือกเพียบ ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นเมนูกาแฟ แต่ที่มาแล้วแนะนำให้ลองเลยก็คือ อโวคาโดปั่น ที่ใช้อโวคาโดพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกกันเอง ผสมกับน้ำผึ้งป่า บอกเลยว่าหอมมากๆ แถมเนื้ออโวคาโดก็เนียน นุ่มสุดๆ นั่งดื่มด่ำบรรยากาศความกรีน ดูหมอกฟินๆ กันอีกสักพัก ก่อนกลับเข้าเมืองเชียงรายกัน
ก่อนไปสนามบินแม่ฟ้าหลวง ขอแวะไปดูช้างน่ารักๆ กันที่ปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร กันอีกสักที่ ซึ่งปางช้างแห่งนี้มีกิจกรรมให้ทำอยู่หลายโปรแกรม ไม่ว่าจะเป็น นั่งช้างทัวร์หมู่บ้าน อาบน้ำกับช้าง และให้อาหารช้าง แต่ด้วยความที่เวลาเรามีไม่มาก เลยทำได้แค่การให้อาหารช้างเท่านั้น
ชุดอาหารช้างมีให้เลือกทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่ โดยชุดเล็กจะอยู่ที่ 20 บาท และชุดใหญ่จะให้มาแบบเป็นตะกร้าจุกๆ มีทั้งกล้วยและอ้อย
ช้างแต่ละตัวทั้งเชื่องและน่ารัก บางตัวถึงกับย่อตัว ก้มหัวขออาหารและขอบคุณกันเลย จนนักท่องเที่ยวที่มาอดยิ้มไม่ได้กันเลย ถือเป็นการปิดทริปที่เต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มมากๆ
แถมใกล้ๆ กับปางช้าง ยังมีจุดถ่ายรูปสวยๆ อีกจุด นั่นก็คือ นาขั้นบันไดที่เขียวขจีให้ได้ไปเดินเล่น โพสท่าสวยๆ อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ก็คือ เที่ยวเชียงรายหน้าฝน 3 วัน 2 คืน เติมความสดชื่น ฟีลดีไม่แพ้หน้าหนาว ที่เต็มอิ่มและครบรสกันแบบสุดๆ ทั้งเที่ยวในตัวเมือง เก็บโลเคชั่นแลนด์มาร์กของเชียงราย เช็คอินคาเฟ่น่ารักๆ ออกมาพักผ่อนนอกเมือง ใช้เวลาอยู่กับตัวเองท่ามกลางธรรมชาติ และต้องบอกเลยว่าถึงแม้จะมาหน้าฝน แต่ความสวยงามและเสน่ห์ของเชียงรายไม่ได้ลดลงหรือน้อยกว่าช่วงหน้าหนาวเลย ใครที่อยากหนีความวุ่นวายมาพักผ่อนแบบสงบๆ และไม่อยากกังวลเรื่องคนเยอะ ลองหาช่วงเวลาในหน้าฝนดู รับรองว่าถ้าได้มาสัมผัสบรรยากาศความกรีนของเชียงรายแล้ว ต้องติดใจกลับไปแน่นอน
สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริปเที่ยวเชียงรายหน้าฝน 3 วัน 2 คืน เติมความสดชื่น ฟีลดีไม่แพ้หน้าหนาว
DAY 1
– ค่าเข้าชมถ้ำศิลป์ วัดร่องขุ่น 50 บาท
– ค่ากิจกรรมทั้งหมดในสิงห์ปาร์ค เชียงราย 1,200 บาท *ไม่รวมค่าบริการเช่ารถกอล์ฟ
– ค่าอาหารร้านภูภิรมย์ 1,310 บาท (หาร 4 ตกคนละ 328 บาท)
– ค่าขนมและเครื่องดื่มร้านชาไทย 158 บาท
– ค่าอาหารและเครื่องดื่มถนนคนเดินเชียงราย ประมาณ 200 บาท
– ค่าบริการที่พัก The Heritage Chiang Rai 2,200 บาท (หาร 2 ตกคนละ 1,100 บาท)
Day2
– ค่าอาหารและเครื่องดื่มร้านปาท่องโก๋ แจ่มจันทร์ 60 บาท
– ค่าขนมและเครื่องดื่มร้าน Low Cal Cafe 191 บาท
– ค่าอาหารร้านน้ำเงี้ยวป้านวล 50 บาท
– ค่าบริการลิฟต์วัดห้วยปลากั้ง 20 บาท
– ค่าเครื่องดื่มร้าน E – Ju Cafe 80 บาท
– ค่าบริการห้องพักไร่กาแฟครอบครัวมะ 2,990 บาท (หาร 2 ตกคนละ 1,495 บาท)
– ค่าหมูกระทะ ชุดละ 495 บาท
Day3
– ค่าเครื่องดื่มร้านกาแฟปางขอน 80 บาท
– ค่าอาหารและเครื่องดื่มร้านแพริมน้ำกรณ์ 220 บาท (หาร 4 ตกคนละ 55 บาท)
– ค่าเครื่องดื่มร้าน Rung Coffee 100 บาท
– ค่าอาหารช้าง ปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร 100 บาท
ราคารวมทั้งหมดต่อคน 5,762 บาท
**ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไป – กลับ, ค่าบริการเช่ารถ และค่าบริการเช่ารถกอล์ฟในสิงห์ปาร์ค เชียงราย**
เป็นอย่างไรกันบ้างกับทริปเที่ยวเชียงรายหน้าฝน 3 วัน 2 คืน เติมความสดชื่น ฟีลดีไม่แพ้หน้าหนาว ใครกำลังแพลนทริปไปเที่ยวสบายๆ ต้องเซฟแพลนเก็บไว้ไปเที่ยวกันแล้ว ไหนๆ ก็มาเชียงรายแล้ว เรามี 23 ที่พักเชียงรายรวมทุกโซน คัดมาแล้วว่าปัง เที่ยวได้ทั้งปี มาแนะนำกันด้วย หรือถ้าอยากลงมาเที่ยวเชียงใหม่กันต่อ เราก็มี 20 ร้านอร่อยเชียงใหม่ การันตีความเด็ดจากคนพื้นที่! มาแนะนำเหมือนกัน