ทริป 2 วัน 1 คืน นั่งรถไฟเที่ยวเชียงใหม่ กินดี นอนดอย เที่ยวเด็ด เก็บครบทุกความชิลล์
219,029 ครั้ง
24 ต.ค. 2562
219,029 ครั้ง
24 ต.ค. 2562
ฤดูฝนกำลังจะหมดไป ฤดูหนาวกำลังเข้ามาแทนที่ ยิ่งเข้าช่วงปลายปีลมหนาวที่พัดมาทำให้ผมรู้สึกตัวขึ้นได้ว่าวันหยุดยาวที่จะถึงนี้จะต้องจัดทริปเที่ยวไปที่ไหนสักที่ เที่ยวแบบเดินทางไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนอะไร และช่วงหน้าหนาวปลายปีแบบนี้คงไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะไปกว่าขึ้นไปเที่ยวภาคเหนือ จริงๆ แล้วที่ภาคเหนือมีจังหวัดน่าเที่ยวมากมาย แต่หนึ่งจุดหมายปลายทางสำหรับคนที่อยากเดินทางด้วยรถสาธารณะก็คือ จังหวัดเชียงใหม่
บ่ายวันเสาร์ผมรีบมาที่ สถานีรถไฟหัวลำโพง เพราะการเดินทางในครั้งนี้ผมจะเดินทางไปกันที่ จังหวัดเชียงใหม่ อย่างที่บอกครับทริปนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นทริปแบบ 2 วัน 1 คืน แต่ผมก็ไม่อยากเที่ยวแบบเร่งรีบ เลยเลือกที่จะนั่งรถไฟไป ผมนั่งรถไฟเร็วขบวนที่ 109 เวลาออกก็คือรอบ 13.45 น. ซึ่งจะไปถึงเชียงใหม่เวลา 04.05 น.
บรรยากาศภายในรถไฟก็ไม่แย่อย่างที่เคยได้ยินใครหลายๆ คนพูดมาครับ ซึ่งขบวนที่ผมจองจะเป็นรถไฟตู้นอน ซึ่งสามารถนอน 2 คนได้แบบสบายๆ ถ้าเข้ามาตอนที่ขบวนยังไม่ออกจะเป็นเบาะสำหรับนั่งหันหน้าเข้าหากัน แต่พอขบวนออกเดินทางสักพักจะมีเจ้าหน้าที่มาปรับเบาะนั่งเป็นที่นอนให้ แถมยังมี หมอน ผ้าห่ม และผ้าปูที่นอนสะอาดๆ ให้อีกด้วย ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าให้เก็บตั๋วรถไฟไว้ให้ดีๆ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่เดินมาตรวจตั๋ว ใครทำหายโดนเชิญลงสถานีหน้าไม่รู้ด้วยนะครับ^^
รถไฟแล่นขบวนผ่านไปยังทุ่งนาและบ้านเรือนผู้คน พร้อมกับบรรยากาศแสงยามเย็น เป็นภาพที่ผมไม่ค่อยได้เห็น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความประทับใจและไม่ต้องกลัวจะหิว เพราะตลอดเส้นทางจะมีคุณลุงคุณป้าเอาขนมและอาหารขึ้นมาขายบนรถไฟตลอดการเดินทาง
จริงๆ แล้วรถไฟมาถึงเชียงใหม่ตั้งแต่ 04.05 น. แล้วล่ะครับ ความรู้สึกแรกเมื่อรถไฟมาจอดที่ สถานีรถไฟเชียงใหม่ ลมหนาวเย็นๆ พัดมาปะทะกับร่างกายตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินลงมาจากรถไฟ หลังจากเดินทางมา 15 ชั่วโมงผมเลยหาที่อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่พร้อมลุยกับทริปนี้ แต่ก่อนอื่นเลยที่เป็นเบสิคสำหรับคนที่เดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่ด้วยรถไฟ คือการ เช่ารถมอเตอร์ไซค์ ขับเที่ยว ผมก็ไม่พลาดที่จะหาร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์ใกล้ๆ สถานีรถไฟ ซึ่งราคาค่าเช่าก็อยู่ที่ประมาน 250 – 300 บาท/วัน (ราคาไม่รวมค่ามัดจำรถ)
เมื่อเช่ารถมอเตอร์ไซค์เสร็จที่แรกที่ผมมุ่งหน้าไปก็คือ โกปิ๊ คาเฟ่ คาเฟ่อาหารเช้าสุดฮิปที่ตั้งอยู่ที่ย่านสุดฮอตอย่างนิมมานเหมินทร์ซอย 9 ตัวร้านตกแต่งด้วยสไตล์จีนๆ มีทั้งโซนเอ้าท์ดอร์ที่นั่งท่ามกลางความร่มรื่นสูดอากาศยามเช้า และโซนอินดอร์ห้องแอร์ในตัวคาเฟ่ที่มีกิมมิคเป็นภาพเพ้นท์พนังแบบจีน ซึ่งทั้ง 2 โซนก็มีที่นั่งให้เลือกมากมายหลากหลายมุม ไม่ว่าจะนั่งมุมไหนก็รับรองว่าได้ภาพสวยๆ อย่างแน่นอน
แต่วันนี้ผมขอเลือกนั่งโซนเอ้าท์ดอร์เพราะมาเชียงใหม่ทั้งทีก็ต้องสูดอากาศและรับลมหนาวให้เต็มที่ พร้อมกับจัดเต็มเมนูอาหารเช้ามากมายไม่ว่าจะเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านอย่าง โกปี๊ปัง โกปี๊เบรคฟราสต์ ข้าวต้มแห้งหมูเครื่องใน ขนมจีบกุ้ง ไข่ลวก นมอัญชัญมะลิ และก๋วยจั๊บญวน ซึ่งจริงๆ แล้วยังมีอีกหลายเมนูอร่อยที่กลับมาครั้งหน้าผมต้องมาลองให้ได้
ในตัวร้านก็มีมุมให้เลือกนั่งเพียบ แถมแต่ละมุมยังถ่ายรูปสวยรับรองว่าถูกใจคุณผู้หญิงอย่างแน่นอน
บรรยากาศยามเช้ารอบๆ ตัวร้านที่จะได้เห็นชีวิตสโลว์ไลฟ์ของคนเชียงใหม่จริงๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นร้านอาหารเช้าแต่ โกปี๊ คาเฟ่ เปิดทั้งวันตั้งแต่เวลา 07.30 – 16.00 น. สำหรับใครที่เอารถยนต์มาก็ยังมีลานจอดรถด้านข้างตัวร้านให้อีกด้วย
กินมื้อเช้ากันจนอิ่มพุง ผมเลยเดินทางไปกันต่อที่ น้ำตกแม่สา ซึ่งจริงๆ แล้วทริปนี้ผมวางแผนขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรูท อ.แม่ริม เพราะเป็นรูทที่มีสถานที่ท่องเที่ยวตลอดทางและเป็นรูทที่ใช้เดินทางไปยังม่อนแจ่ม ที่สำคัญยังอยู่ใกล้ตัวเมืองสามารถขับรถมอเตอร์ไซค์มาเที่ยวได้แบบชิลล์ๆ อีกด้วย น้ำตกแม่สา เป็นอีกหนึ่งแหล่งพักผ่อนที่มีบรรยากาศดีๆ มีอยู่ทั้งหมด 10 ชั้น ทางเดินขึ้นก็มีทั้งสะดวกและลาดชัน ที่ด้านหน้าทางเข้าจะมีเจ้าหน้าที่เก็บค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท
เมื่อเดินเข้ามาตามทางเดินถึงชั้น 5 จะเห็นน้ำตกไหลลงมาตามโขดหินเหมือนม่านน้ำไหลลงมา ผมบอกเลยว่าประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
มุมสะพานมุมนี้จะสามารถมองเห็นวิวน้ำตกได้อย่างชัดเจน แถมยังได้ถ่ายรูปสวยๆ อีกด้วย
หากเดินขึ้นไปถึงชั้น 6 – 7 ก็จะได้เห็นน้ำตกอีกมุมซึ่งบริเวณนี้จะมีบรรยากาศที่ร่มรื่นและเย็นสบาย
เที่ยวน้ำตกกันจนฉ่ำใจผมขับรถขึ้นไปต่อที่ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เป็นสถานที่รวบรวมและอนุรักษ์พันธุ์ไม้ไว้มากมาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นสวนพฤกศาสตร์แห่งแรกของเมืองไทยที่มีมาตรฐานระดับสากล ภายในเต็มไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์ไม้และดอกไม้เมืองหนาว ค่าธรรมเนียมผู้ใหญ่ คนละ 40 บาท สามารถขับรถเที่ยวด้านในได้เลย
และที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คงหนีไม่พ้นทางเดินธรรมชาติลอยฟ้า Canopy Walks ที่จะทำให้เราได้เห็นป่าและธรรมชาติจากมุมบน แล้วยังมีโอกาสได้เห็นกิ่งก่าบินอีกด้วย ใครที่เป็นสายถ่ายรูป สายเซลฟี่จะต้องชอบมุมนี้อย่างแน่นอน ระหว่างทางเดินยังมีพื้นกระจกให้ไปยืนพิสูจน์ความกล้าด้วยนะ
ภายใน สวนพฤกศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ยังมีกลุ่มอาคารเรือนกระจก ที่เป็นไฮไลท์ที่ใครๆ มาแล้วก็ต้องมาถ่ายรูปก็คือ เรือนพืชทนแล้ง ที่รวบรวมพืชทนแล้งจากทั่วโลกมาไว้ที่นี่ รับรองว่ามุมนี้ถูกใจสายฮิปสเตอร์อย่างแน่นอน
และยังมี เรือนแสดงไม้ป่าดิบชื้น ที่มีต้นไม้สูงใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในป่าและมีน้ำตกจำลองให้ถ่ายรูปกันอีกด้วย
เที่ยวกันจนเพลิน เผลอแป้บเดียวก็ได้เวลาเช็คอินเข้าที่พัก ผมจึงขับรถไปต่อที่โซนม่อนแจ่มซึ่งใช้เวลาเดินทางจาก สวนพฤกศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ประมาน 35 นาที และที่พักที่เราจะพักกันในคืนนี้ก็คือ ม่อนสายลม ที่พักสไตล์สุดเท่ ที่ตั้งอยู่บนโลเคชั่นชั้นนำบนสุดของยอดดอย และยังเป็นยอดดอยที่อยู่ท่ามกลางภูเขารอบด้านแบบ 360 องศา มีครบทั้งร้านอาหาร และคาเฟ่
เดินทางมาเหนื่อยๆ ผมเลยมานั่งพักกันที่โซนคาเฟ่ของ ม่อนสายลม ที่ใช้ชื่อว่า ม่อนสายลม คอฟฟี่ สั่งชาเขียวมัทฉะ บูลฮาวายอิตาเลี่ยนโซดา และขนมปังปิ้งมานั่งชิลล์ดูวิวหลักล้านกันจนหายเหนี่อย
ที่นี่มีทั้ง บ้านพักสไตล์โมเดิร์น เต็นท์กระโจม VIP และที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ล่าสุดเลยก็คือ เต็นท์โดม ซึ่งผมเลือกนอนในคืนนี้ครับ และที่ผมชอบ ม่อนสายลม อีกอย่างก็คือ ไม่ว่าจะเป็นบ้านโมเดิร์น เต็นท์กระโจม VIP หรือเต็นท์โดม ทุกหลังจะหันหน้าออกสู่วิวธรรมชาติและไม่บดบังกัน ทำให้สามารถเห็นวิวได้อย่างเต็มที่
ภายในตัว เต็นท์โดม มีพื้นที่กว้างขวางเป็นทรงกลม และปูพื้นด้วยกระเบื้องดูสะอาดตา อีกทั้งยังมีที่นอนสำหรับนอน 2 คนพร้อมชุดเครื่องนอน และยังมีพัดลม ชั้นวางของ น้ำเปล่า แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว และปลั๊กไฟให้อีกด้วย
ด้านข้างตัวเต็นท์ยังมีช่องโปร่งแสงที่สามารถมองทะลุออกไปชมวิวด้านนอกได้ด้วยนะ
และยังมีห้องน้ำส่วนตัวพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊สไว้ให้อีกด้วย
ด้านหน้า เต็นท์โดม ยังมีพื้นที่ไว้ให้นั่งชิลล์ ยิ่งช่วงยามเย็นจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกหลังเขา ยิ่งแสงพระอาทิตย์ตกในช่วงหน้าหนาวบอกเลยว่าต้องฟินสุดๆ เพราะจะได้เห็นแสงทไวไลท์ที่สวยงาม หรือจะสั่งหมูกระทะมากินที่มุมนี้รับรองว่าฟินสุดๆ ซึ่งไม่ต้องออกไปหากินที่ไหนไกล เพราะ ม่อนสายลม มีทั้งเช็ตหมูกระทะและอาหารไว้ให้บริการ
กินหมูกระทะที่ร้านว่าฟินแล้ว แต่กินหมูกระทะบนดอยผมว่าฟินกว่าทั้งบรรยากาศและอากาศหนาวๆ คงไม่มีอะไรที่ฟินไปกว่าการนั่งปิ้งหมูกระทะท่ามกลางสายหมอกอีกแล้ว รับรองเลยว่าที่นี่จะเป็นจุดหมายปลายทางของการพักผ่อนในวันหยุดของเพื่อนๆ ที่ฟินสุดๆ
บรรยากาศยามค่ำคืนของ ม่อนสายลม ที่จะได้เห็นแสงไฟระยิบระยับไปทั่วทั้งดอย
เช้าวันที่ 2 ของทริปผมรีบตื่นนอนตั้งแต่เช้าเพื่อออกมาดูทะเลหมอกที่ระเบียงเต็นท์โดม บอกเลยว่าหนาวและฟินสุดๆ
สำหรับอาหารเช้าของที่นี่จะเสิร์ฟเป็นข้าวต้มหมูแบบบุฟเฟ่ต์ ตั้งแต่ 07.30 – 09.00 น. และยังสามารถตักไปกินที่หน้าห้องพักของตัวเองได้ด้วยนะ
นอกจากนี้แล้วบริเวณรอบๆ ม่อนสายลม ยังมีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆ มากมายทั้งทุ่งดอกไม้ ที่มีทั้งดอกคัตเตอร์สีขาว ดอกเวอร์บีน่าสีม่วง และดอกคอสมอสสีชมพู
ผมเช็คเอ้าท์ออกจาก ม่อนสายลม ช่วงสายๆ และไปต่อกันที่ โครงการหลวงหนองหอย ซึ่งจะมี ไร่ดอกลมหนาว ไร่ดอกไม้ที่บานสะพรั่งไปทั่วทั้งดอย มีทั้งดอกเวอร์บีน่าและดอกคอสมอสให้ถ่ายรูป เก็บค่าเข้าสวนคนละ 20 บาทเท่านั้นเอง
ใครที่ชอบถ่ายรูปรับรองว่าได้รูปสวยๆ กลับไปอย่างแน่นอน
และแล้วก็ได้เวลากลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ระหว่างทางผมเลยแวะไปที่ร้าน น้ำเหนือนั่งเล่น ร้านอาหารบรรยากาศดีที่ตั้งอยู่ริมทางขึ้น – ลง ม่อนแจ่ม ตัวร้านจะเป็นร้านอาหารริมลำธาร มีที่นั่งให้เลือกมากมาย เมนูอาหารก็มีทั้ง อาหารพื้นเมือง ส้มตำ และอาหารบ้านๆ
วันนี้ผมสั่ง ส้มตำไทย ผัดผักรวม ไก่ย่าง และแกงคั่วไก่มากินชิลล์ๆ ฟังเสียงน้ำไหลเพลินๆ
และยังมีมุมสะพานข้ามลำธารให้ถ่ายรูปด้วยนะ
และเมื่อมาถึงเชียงใหม่แล้วอีกหนึ่งสถานที่ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ ดอยสุเทพ ที่มี วัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือ และที่เป็นไฮไลท์ก็คือเจดีย์สีทองอร่ามบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ภายใน ซึ่งวัดพระธาตุดอยสุเทพตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 14 กิโลเมตรเท่านั้น และยังสามารถขี่รถมอเตอร์ไซค์ขึ้นได้แบบชิลล์ๆ
ระหว่างทางขึ้นจะมีจุดชมวิวเมืองเชียงใหม่ให้แวะชมอีกด้วย
เมื่อขึ้นมาถึงด้านล่างวัดพระธาตุดอยสุเทพจะต้องเดินขึ้นบรรไดนาค 306 ขั้น หรือใครที่กลัวเดินขึ้นไม่ไหวที่นี่ยังมีบริการรถรางไฟฟ้าไป – กลับ ราคา 20 บาท ผมเลยเลือกที่จะขึ้นรถรางเพราะเมื่อยล้าจากการขับรถมาทั้งวัน
เมื่อขึ้นมาถึงจะต้องร้องว้าว! เพราะจะได้เห็นพระธาตุสีทอง เป็นเจดีย์ทรงเชียงแสน ฐานสูงย่อมุมระฆังทรงแปดเหลี่ยมปิดด้วยทองจังโก 2 ชั้น และผมก็ไม่พลาดที่จะกราบไหว้ขอพรและเดินวนเจดีย์จนครบ 3 รอบ เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต
ด้านข้างยังมีจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นวิวสนามบินเชียงใหม่และยังได้เห็นเครื่องบินขึ้น – ลง ที่สนามบินจากมุมสูงอีกด้วย ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่มีวิวแปลกและแตกต่างไปจากที่อื่น
ขาลงผมเลือกเดินลงบันไดนาคและแวะถ่ายรูปกับเด็กชาวเขาสักหน่อย
เมื่อขึ้นมาถึงดอยสุเทพแล้วจะไม่ขึ้นไป ดอยปุย ถือว่าพลาด เพราะทั้งสองดอยเป็นรูทเที่ยวเดียวกันและอยู่ห่างกันไม่ไกล ผมจึงไปกันต่อที่ ดอยปุย ใช้เวลาเดินทางประมาน 30 นาที
ระหว่างขึ้นดอยปุยผมสัมผัสได้ถึงอากาศหนาวๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาช่วงบ่าย สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์และร่มรื่นสุดๆ
และผมก็ปิดท้ายทริปกันที่ หมู่บ้านม้งดอยปุย ระหว่างทางเดินไปยังจุดชมวิวด้านบนเต็มไปด้วยร้านขายของฝากของที่ระลึกที่เป็นสินค้าแฮนด์เมด และยังมีชุดม้งให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับไปอีกด้วย
ขึ้นมาถึงดอยปุยก็ต้องมาจิบกาแฟสักแก้ว ผมมาที่ร้าน กาแฟป่า ร้านกาแฟวิวดีที่ตั้งอยู่ด้านบนของหมู่บ้านและต้องเดินผ่านตัวหมู่บ้านเข้ามา ซึ่งเมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่ก็คือ กาแฟป่าร้อน รสชาติเข้มข้นเสิร์ฟคู่กับน้ำผึ้งและชามะนาวที่ช่วยลดอาการเมารถได้เป็นอย่างดี ร้านกาแฟป่า เปิดตั้งแต่เวลา 06.00 – 18.00 น.
เดินลัดตัวหมู่บ้านไปอีกสักหน่อยก็จะได้เห็นจุดชมวิวและสวนดอกไม้ที่มีดอกไม้นานาชนิดให้เราได้ชมกัน และเดินทางกลับไปยังสนามบินเชียงใหม่ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมานชั่วโมงนิดๆ อาจจะต้องเผื่อเวลาสำหรับเดินทางกลับกันดีๆ ล่ะ
สำหรับการเดินทางกลับผมเดินทางกลับโดยเครื่องบินซึ่งทำการจองล่วงหน้าเอาไว้แล้วจึงได้ตั๋วเครื่องบินราคาประหยัด และขอตัวกลับไปพร้อมกับความประทับใจกับทริปเที่ยวสั้นๆ ที่เชียงใหม่ครั้งนี้
จบทริปกับการเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่ และม่อนแจ่มในช่วงหน้าหนาวครั้งนี้ เป็นทริปที่ผมประทับใจตั้งแต่เลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟ และเช่ารถมอเตอร์ไซค์เที่ยวไปตามเส้นทางเที่ยวใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ และเป็นทริปสั้นๆ ที่เที่ยวได้หลายที่ ครบทั้งเรื่องกิน เรื่องนอน และจุดเช็คอินสวยๆ ที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆ ลองเอาไปเป็นตัวอย่างทริปเที่ยวเชียงใหม่ดู รับรองเลยว่าสนุกและฟินสุดๆ
สรุปค่าใช้จ่ายทริปนั่งรถไฟเที่ยวเชียงใหม่ 2 วัน 1 คืน
ค่าตั๋วโดยสารรถไฟเร็ว ขบวนที่ 109 หัวลำโพง – เชียงใหม่ ประเภทตู้นอนล่าง ราคา 761X2 = 1522 บาท
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ วันละ 250 x 2 วัน = 500 บาท (หาร 2 คน 250 บาท)
ค่าอาหารเช้า โกปี๊ คาเฟ่ 331 บาท (หาร 2 คน 166 บาท)
ค่าเข้าน้ำตกแม่สาคนละ 20 x 2 คน = 40 บาท มอเตอร์ไซค์คันละ 20 รวม 60 บาท (หาร 2 คน 30 บาท)
ค่าเข้าสวนพฤกศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ คนละ 40 x 2 = 80 บาท (หาร 2 คน 40 บาท)
ค่าที่พักม่อนสายลม เต็นท์โดม 1,900 บาท หมูกระทะ 450 บาท และเครื่องดื่ม 190 บาท รวม 2,540 บาท (หาร 2 คน 1,270 บาท)
ค่าเข้าไร่ดอกลมหนาว คนละ 20 x 2 = 40 บาท (หาร 2 คน 20 บาท)
ค่าอาหารและเครื่องดื่มร้าน นำเหนือนั่งเล่น 400 บาท (หาร 2 คน 200 บาท)
ค่าขึ้นรถรางไฟฟ้าวัดพระธาตุดอยสุเทพ 20 x 2 = 40 บาท (หาร 2 คน 20 บาท)
ค่าเครื่องดื่มร้านกาแฟป่าหมู่บ้านม้งดอยปุย 90 บาท (หาร 2 คน 45 บาท)
เติมน้ำมันรถตลอดทริป 200 บาท (หาร 2 คน 100 บาท)
ค่าตั๋วเครื่องบิน เชียงใหม่ – ดอนเมือง 690 x 2 = 1,380 บาท (ราคาตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่นและจองล่วงหน้า)
**สรุปค่าใช้จ่ายคนละ 3,582 บาท