tripgether.com

ลุยเดี่ยวเที่ยวลาวเหนือ หนองเขียว หลวงพระบาง จ่ายไม่เกิน 6,000 บาท

26,126 ครั้ง
19 มิ.ย. 2560

จุดเริ่มต้นในการเที่ยวลาวครั้งนี้ คือไปเห็นคลิปๆ หนึ่งใน Youbute ชื่อ Lost in NorthernLaos ตอนนั้นสติหลุดเหมือนจิตหลุดไปอยู่ที่นั่นแล้วเลยเริ่มหาข้อมูลต่างๆ คือจะต้องไปเห็นทะเลหมอกแบบนั้นให้ได้ ตอนแรกนัดกับเพื่อนไว้ อีกสองคน (เพื่อนสาว)แต่สองคนดันลางานไม่ได้ เพราะต้องใช้เวลาเดินทาง 4 วัน เลยต้องไปคนเดียว แต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้ง “ยอดมนุษย์ ตุ๊ด อุลตร้าแมน”อย่างเราไว้ได้… Let’t go!!!

การเดินทางในครั้งนี้ผมเลือกที่จะเดินทางข้ามแดนผ่านทางจังหวัด เลย การเดินทางนั้นสามารถเดินทางได้โดยใช้บริการรถโดยสารระหว่างประเทศ เลย – หลวงพระบาง ราคาค่าโดยสาร 700 บาท มีรถวิ่งทุกวัน วันละ 1 เที่ยว ออก 8.00 น

เพื่อความชัวร์ผมเลือกที่จะมานอนค้างที่จ.เลย และจองตั๋วไว้ก่อนตั้งแต่ตอนเย็น ก่อนรถออกแนะนำให้ทานอาหารเช้าหรือซื้อของไว้กินบนรถด้วย เพราะกว่าจะถึงจุดจอดพักรับประทานอาหารก็เกือบบ่าย 2

เรื่องของวิธีการผ่านแดนนั้น ไม่ต้องกังวลนะครับเพราะเจ้าหน้าที่ประจำรถจะคอยแนะนำเราตลอดไม่เข้าใจอะไรให้ถามได้เลยพนักงานน่ารักและเป็นกันเองมากๆ  ตอนผ่าน  ต.ม. จะมีบัตรขาเข้าขาออกของแต่ละประเทศ พนักงานประจำรถจะแจกให้กรอกตั้งแต่ก่อนขึ้นรถนะครับ กรอกเป็น ภาษอังกฤษ และเก็บส่วนที่เหลือไว้ตอนขากลับด้วยนะครับห้ามทำหายเด็ดขาด

ระหว่างทางไม่เคยจะได้หลับเพราะมัวแต่มองข้างทาง เพราะไม่เคยเดินทางผ่านทางเส้นนี้มาก่อนถนนเส้นนี้ทิวทัศน์สวยมากๆ

ประมาณบ่าย 2 ก็จะมาถึงจุดพักรับประทานอาหาร เจ้าหน้าที่ประจำรถจะมาถามไว้ก่อนแล้วนะครับว่าจะเลือกทานอะไร มีข้าวผัด เฝอ ข้าวเปียก ใครที่มีอาการคลื่นใส้เวียนห้วให้ทานของร้อนนะครับช่วยได้

19.00 น. จะมาถึงสถานีขนส่งสายใต้ หลวงพระบาง (รูปแคปมาจาก map นะครับตอนนั้นมืดเลยไม่ได้ถ่าย) อย่าสับสนนะครับที่หลวงพระบางมีสถานีขนส่งสายใต้กับสายเหนือซื่งอยู่กันคนละที่ และสายใต้มีสองฝั่งคือ ในประเทศกับระหว่างประเทศ ตอนไปจองตั๋วขากลับรถตุ๊กๆพาไปส่งสายใต้ในประเทศยืนงงต้องนานว่าตอนมามันไม่ใช่ที่นี่นี่หว่า เลยไปถามเจ้าหน้าที่ว่าจะจองตั๋วไปจังหวัดเลย ถึงได้รู้ว่ามาลงผิดฝั่ง

พอเดินออกจากสถานีขนส่งมาให้เลี้ยวขวา แล้วเดินมาสัก 100 เมตรจะเจอห้างสรรพสินค้า  ก็จะมาแลกเงินกับซื้อซิมเน็ต ที่ชั้นล่าง

แพ็กเกจเน็ต ผมเลือก 1.5 G ใช้ได้นาน 1 สัปดาห์ ราคารวมซิมแล้ว 15,000 กีบ   ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินนั้นอยู่ที่ 1 บาทต่อ 230 กีบ ถ้าแลกที่ 
Exchange ในตัวเมืองอาจได้เรทที่ดีกว่าแต่คงไม่ต่างกันมากเท่าไหร่เลยแลกเลยดีกว่า

หลังจากที่ได้เน็ตมาใช้งานแล้วก็เปิดแผนที่เลยครับ เพราะจองที่พักไว้แล้ว(ส่วนใหญ่จะจองที่พักผ่าน Agoda) ตอนแรกเลือกจองที่พักแบบ Hostel ไว้เพราะคิดจะประหยัดเงินค่าใช้จ่ายจาก จุดซื้อซิมไปที่พัก ประมาณ 2.7 กิโลเมตร (เดิน) พอไปถึงที่พักประทับใจจนขนหัวลุกเลยครับมาเจอพนักงานที่เคาท์เตอร์สูบบุหรี่อยู่ ที่โต๊ะ กับแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดก็เต็มไปด้วยขี้บุหรี่ส่วนก้นบุหรี่นั้นก็เต็มไปหมด แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เอาวะ!! ขนาดนอนหน้าเซเว่นปั้มปตท.ที่หนองคายตอนไปวังเวียงยังนอนมาแล้วเลย จ่ายเงินไป35,000 กีบ พอไปดูเตียงนอนเหมือนนอนผ่านมาหลายคนมากไม่เคยเปลี่ยนห้องน้ำมีแค่2ห้อง แล้วสภาพพังๆ เลยจำใจต้องไปหาที่พักใหม่ เดินหาอยู่นานจนมาได้ที่พัก

ที่พักที่นี่ใช้พักทั้งไปและตอนขากลับจากหนองเขียวด้วย แต่ที่นี่ประทับใจมากคือตอนขากลับมาพักที่นี่ป้าที่ดูแลยื่นกุญแจห้องเดิมตอนขาไปให้ เขาจำได้ขนาดเจอป้าแกแค่หนเดียว ค่าที่พักคืนละ 500กว่าบาทแต่แลกกับความสะดวกสบายก็ต้องเอาเพราะเริ่มดึกมากแล้วและที่พักก็ใกล้กับตลาดมืด และที่เดินเที่ยวด้วย

หลังจากที่ได้ที่พักแล้วก็เดินมาเที่ยวตลาดมืด วันนั้นมีหนังกลางแปลง คนดูเยอะพอสมควรเป็นหนังไทยแต่จำชื่อเรื่องไม่ได้ 

มาถึงตลาดมืดก็เดินๆดูไว้ก่อนไว้วันกลับค่อยมาซื้อของฝากให้เพื่อน

น้ำผลไม้ปั่นมีให้เลือกเยอะครับ กรุณาเลือกที่เคยกินจะดีกว่าครับ เพราะซื้อมะเฟืองปั่นกับมะม่วงปั่น รสชาติล้ำลึกสุดๆ

ตอนนี้จะ5ทุ่มแล้วเลยหาอะไรทานจะได้กลับไปพักผ่อนเพราะทั้งเดินทางกะเดินหาที่พักเล่นซะพลังงานแทบหมด เดินมาเจอสุกี้ลาว เขาขายเป็นชิ้นละ อยากทานอะไรก็คีบๆใส่เลยครับเดี๋ยวเขาเอาไปปรุงให้ทีหลัง ผมคีบไปเกือบ 30,000 กีบ (ประมาณ120บาท) สงสัยเพราะความหิว

120 บาทได้มาอย่างที่เห็น น้ำตาจะไหลอร่อยเหลือเกิน หลังจากที่ทานอะไรเสร็จแล้วก็เกือบเที่ยงคืนจึงรีบกลับไปพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปหนองเขียวต่อ

หลังจากตื่นตั้งแต่ ตี 5 เก็บของใส่กระเป๋าเตรียมไว้ก่อนเดินทาง จึงไปใส่บาตรตอนเช้า ตอนแรกกะว่าจะไปใส่ตรงที่เขานิยมใส่กัน(มุมมหาชน)แต่พอไปแล้วคนเยอะมากๆเลยใส่ที่อื่นแทน หลังจากใส่บาตรเสร็จก็ไปเดินตลาดตอนเช้าซึ่งจริงๆแล้ว ก็คงไม่ได้ซื้ออะไร แต่ผมชอบไปดูวิถีชิวิต ดูของกินแปลกๆอยู่แล้วไม่มีพลาด

เดินตลาดเช้าเสร็จก็เดินทะลุออกมาทางริมแม่น้ำ ไหนก็มาแล้วก็ต้องมาร้านกาแฟยอดนิยมอย่าง ประชานิยม สักหน่อย 

ข้าวต้มทรงเครื่องร้อน ๆ กับ ปาท่องโก๋ เป็นอะไรที่ฟินสุดๆ ใครไม่เคยทาน ลองได้เลยนะครับไม่ผิดหวังแน่นอน ปาท่องโก๋ จะวางใส่ชามไว้เราสามารถซื้ออันเดียวก็ได้นะครับ ราคา 1000 กีบไม่จำเป็นต้องซื้อยกชาม

ทานอาหารเสร็จ ก็เดินเลาะมาทางริมแม่น้ำ เพื่อกลับที่พัก ระหว่างนั้นเลยเดินลงไปริมแม่น้ำ วันนี้อากาศดีมากๆ อุณหภูมิ 10 องศาหมอกลงค่อนข้างหนา เดินถ่ายรูปมาได้สักพักก็กลับที่พัก รีบเดินทางไป สถานีขนส่งสายเหนือ (คนที่นี่เรียกคิวเหนือ)

ได้รถไปหนองเขียวรอบ 9.00 น. พยายามไปรอบเช้าๆหน่อยเพราะจะได้ไม่ตกรถรอบแรก พอไปถึงรถเกือบเต็มแล้ว ตั๋วไปหนองเขียวราคา 37,000 กีบ เทคนิคการจองที่นั่งคือต้องไปนั่งจองอย่างเดียวนะครับถึงจะได้ที่นั่งสบาย เคยเอากระเป๋าไปวางจองไว้สรุปโดนแย่งที่เฉย ต้องไปนั่งข้างหลัง 4 คนอัดกันไปกับฝรั่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง เส้นทางดีบ้างไม่ดีบ้าง ถือเป็นรสชาติชีวิตอย่างนึง

ประมาณเที่ยงก็จะมาถึงคิวรถหนองเขียว เช็คเวลากลับไว้ด้วยนะครับจะได้ไม่พลาด รถมีไปคิวรถเหนือกับคิวรถใต้ ใครที่จะไปจองตั๊วกลับไทยตอนขากลับไทยให้ไปที่คิวรถใต้เลยก็ได้ครับ 

หลังจากลงรถแล้วจะมีรถสองแถวมารอรับเข้าไปในย่านตัวเมือง ผมเลือกที่พักอีกฝั่งนึงของแม่น้ำเพราะใกล้ทางขึ้นจุดชมวิว ภาพจากบังกะโลที่พักมองเห็นสะพานและภูเขาแต่บอกไว้ก่อนนะครับว่าการเลือกที่พักแบบบังกะโลน่าจะเหมาะกับฤดูร้อนมากกว่าฤดูหนาวเพราะกลางคืนหนาวมาก เพราะบังกะโลมันไม่มิดชิดเหมือนตึกปูน ขนาดผ้าห่มหนาๆ 2 ผืนใหญ่ๆ ยังไม่พอเลยครับ นอนเปลที่ระเบียงเล่นไปได้สักพักก็ออกไปหาอะไรทาน

ตอนนั้นสั่งข้าวผัดไข่ ส้มตำ แล้วก็กาแฟเย็นไป ตั้งแต่ทานอาหารของ สปป.ลาวมาหลายที่มีที่นี่แหละครับที่รสชาติเหมือนทานในไทย โดยเฉพาะส้มตำ เลยฝากท้องไว้ที่นี่เกือบทุกมื้อ หลังจากกินเสร็จก็กลับมานอนเล่นที่เปลที่พักกะให้อาหารย่อยสักหน่อย ปรากฎว่าเผลอหลับครับ ตกใจตื่นมาอีกที 4 โมงเย็น คือที่นี่มืดเร็วมากเพราะภูเขาบังพระอาทิตย์ ตอนแรกนึกว่าหกโมงเย็นเสียอีก เลยรีบออกมาเดินเล่น

ที่สะพานตอนจะมีคนมาเดินเล่นถ่ายรูป กันตลอดเวลา ขนาดคนในพื้นที่มารอรถกลับบ้านยังมารอกันที่สะพาน ยืนให้ถ่ายอย่างกะ บอยแบนด์ 

ยอดเขาที่เห็นอยู่นั้นคือจุด viewpoint ที่จะขึ้นไปพรุ่งนี้เช้าครับ

หลังจากเดินเล่นถ่ายรูปที่สะพานเสร็จก็เลยเดินไปดูทางขึ้น จุดชมวิวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักหรือสะพานมานัก ถามลุงคนดูแลทางขึ้นลุงบอกว่าเพิ่งมีคนไทยขึ้นไป จุดชมวิวเริ่มให้ขึ้นได้ตั้งแต่ตอนตี 5 ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ทางไม่ชันมากเท่าไหร่ 

หลังจากนั้นก็เดินข้ามสะพานเพื่อมาเดินเล่นในตัวเมืองหนองเขียว บรรยากาศดีมากๆคนไม่วุ่นวาย ผู้คนเป็นมิตรและอัธยาศัยดีมากๆ 

เดินมาเรื่อยๆมาเจอกับอาหารนี้ก็เลยลองซื้อมาทาน 5 ชิ้น 2,000 กีบ รสชาติอร่อยดีครับแต่จำชื่อไม่ได้เพราะฟังไม่ออกว่าเขาเรียกว่าอะไร

เดินเล่นในเมืองเสร็จก็กลับเข้าที่พักอาบน้ำ ตอนแรกกะจะรีบนอนเพราะต้องตื่นแต่เช้าแต่ว่านอนไม่หลับ เลยต้องออกมาหาอะไรกินกลางดึก ก่อนนอนมีอาการเหมือนจะเป็นไข้เพราะอากาศหนาวมาก เลยกินยาไว้ก่อนนอน ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 4 แต่ตอนตื่นมายังรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ตอนนั้นเริ่มสองจิตสองใจแล้วว่าจะขึ้นไปดีไหมเพราะไปคนเดียว ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร นอนคิดอยู่ครึ่งชั่วโมงเลยตัดสินใจไป แต่ตั้งใจไว้ว่าจะค่อยๆไปถ้ารู้สักไม่ไหวหรือมีอาการไม่ดีจะต้องกลับลงมาทันที การขึ้นไปบนจุดชมวิวต้องเตรียมไฟฉายไปด้วยนะครับให้เตรียมไปจากไทยดีที่สุดเพราะถูกกว่าไปซื้อที่นั่น ผมเตรียมเสื้อกันฝนเผื่อไปด้วยครับเพราะกลัวฝนตก และกาแฟกระป๋องแล้วก็ขนมอีกหลายอย่าง ตี 5 เดินไปมืดๆเลยครับไฟริมทางก็ไม่มีต้องใช้ไฟฉายส่องไป เราจะเสียค่าเข้า 20,000 กีบ ตอนที่ถึงลุงบอกมีฝรั่งขึ้นไปแล้ว 5 คน ตอนแรกกะว่าจะมาเอาคนแรกสักหน่อย พอเดินไปเรื่อยๆทางไม่ค่อยชันมากเท่าไหร่เดินค่อนข้างง่าย แต่มืดมากๆ มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากไฟฉายส่อง เดินไปได้แค่ 20 นาทีรู้สึกร้อนมากๆต้องรูดซิปเสื้อกันหนาวออกเลยครับ ไข้ก็หายไปเลยสงสัยไข้แตก ทางจะมาชันแค่ช่วงท้ายนิดเดียวเท่านั้นที่ต้องปีนโขดหิน 

นี่คือภาพแรกที่เห็นหลังจากใช้เวลาเดินมา 1 ชั่วโมง 20 นาที ตอนนั้นในสมองไม่ได้คิดอะไรเลยเหมือนหลุดไปอยู่อีกที่นึง ความเหนื่อย ไข้หวัด ลืมหายไปหมดเลยครับ

คือตอนแรกคิดว่าคนจะขึ้นมาเยอะเลยรีบถ่ายรูป สรุปแทบไม่มีคนขึ้นมาเลย

ผมขึ้นมาเป็นคนที่ 6 และมีตามมาทีหลังอีกแค่ 3 คน เรียกได้ว่าถ่ายรูปกันจนไม่รู้จะถ่ายอะไรไม่ต้องแย่งกันเลยครับ สบายๆ

ทำไมเราไม่มี moment แบบนี้กะเขาบ้างนะ

ตอนนั้นพยายามหลายวิธีมากที่จะถ่ายรูปตัวเองด้วยมือถือให้สวยๆ สรุปถ่ายไม่ได้ ทั้งไม้เซลฟี่ ทั้งขาตั้ง จนในที่สุด 

ไม่มีอะไรเกินความสามารถไปได้หรอกครับของแบบนี้ ใช้ให้ฝรั่งถ่ายให้ซะเลย หลังจากถ่ายรูปกันเสร็จก็มานั่งคุยกัน ไอ้ภาษาอังกฤษของเราระดับงูๆปลาๆก็พอจับใจความได้ว่าคนที่ถ่ายรูปให้เคยมาอยู่ที่เกาะพะงันปีนึง ห๊ะ!! ปีนึง

ตอนแรกกะว่าจะอยู่จนกว่าหมอกจะจางจนเห็นเมืองข้างล่าง ปรากฎว่า 9.30 น.แล้วหมอกยังไม่มีทีท่าว่าจะจางมีแต่ดันตัวขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆเลยรีบลงมาก่อนเพราะกลัวไม่ทันรถเที่ยว 11.00 น.

ตอนเดินลงมาจะต้องเดินผ่านชั้นหมอกด้วย ตอนนั้นทั้งหน้าทั้งหัวเปียกไปหมด

ไว้มาอีกจะมาปั่นจักรยานเที่ยวให้ทั่วเมืองกว่านี้ หลังจากที่ลงมาจากเขาก็กลับเข้าที่พักเพื่อเตรียมตัวกลับหลวงพระบางก่อนเข้าไปเก็บของก็นัดกับลุงขับตุ๊กๆไว้แล้วว่าจะไปที่คิวรถ พอเก็บของเตรียมตัวเสร็จ อ้าว!! ลุงไปไหน รึบอยุ่นะ สรุปต้องเดินสิครับกลัวไม่ทันรถ

เดี๋ยวนะ??? ทำไมรีบกลับ ไหนว่าจะไปเมืองงอยเก่าด้วยไง??? อันที่จริงคือตั้งใจไว้ว่าจะนั่งเรือเข้าไปเที่ยวที่เมืองงอยเก่าด้วยครับแต่ว่าด้วยความสะเพร่าบวกกับความขี้ลืมระดับเทพแล้ว คือลืม กดเงินมาจากฝั่งไทย ตอนที่อยู่จังหวัดเลยนั้นลืมนึกไปเลยว่าต้องกดเงินเพิ่มด้วยมานึกได้อีกทีระหว่างทางมาหลวงพระบาง ตอนแรกก็คิดว่าจะมากดที่หลวงพระบางแต่ก็ลืมอีก พอมาถึงหนองเขียวตู้เอทีเอ็มเสียอีกกดไม่ได้  เหลือเงินติดกระเป๋าอยู่ 1,500 บาทกับอีก 3 แสนกีบ จริงๆอยู่ต่อก็ได้นะครับเพราะค่าที่พักจ่ายผ่าน Agoda ได้แต่กลัวว่าถ้ากลับไปหลวงพระบางแล้วเกิดกดไม่ได้ขึ้นมาหรือตู้กินบัตรไปนี่เรื่องใหญ่แน่ เลยต้องตัดสินใจกลับ และมันก็จะได้เป็นข้ออ้างเพื่อมาที่นี่อีกครั้งนึง

หนทางยังอีกยาวไกลเดินหน้าต่อครับ นี่เราคิดถูกใช่ไหมที่เดิน แถมเดินขึ้นเขาอีก ถึงว่าตอนมาทำไมรถตุ๊กๆพาอ้อมทำไมไม่ขับไปตรงๆเลย เพราะว่าเหตุนี้นี่เอง

เกือบจะไม่ได้กลับรอบ 11.00 แล้วครับเพราะคนเยอะมากๆ ดีที่จองตั๋วได้คิวก่อน มีคนต้องลงจากรถไปเพราะคนขับเช็คคิวผิดดีที่ไม่ใช่เรา 

หลังจากที่มาถึงคิวรถสายเหนือก็หาตุ๊กๆไปคิวรถสายใต้ต่อเลยครับ ราคา 25,000 กีบ ห้องที่ผมจองตั๋วจะอยู่ที่ด้านหน้าเลยครับ จ่ายเป็นเงินไทย 700 บาทแล้วจะได้ใบจองมา ตอนเช้ารถออกตามตาราง 7.30 น.(จริงๆออกสายกว่านั้นครับ) ตรงนี้แหละครับที่เพิ่งรู้ว่าคิวรถสายใต้มี 2 ฝั่งคือในประเทศกับระหว่างประเทศ หลังจากจองตั๋วเสร็จก็กลับไปที่พักเดิม 2.7 กิโลเมตร หลังจากที่จองตั๋วกลับไทยเรียบร้อยแล้วก็กลับที่พัก เอาสัมภาระมาเก็บแล้วก็ไปพระธาตุพูสีต่อเลยครับ

การเดินขึ้นพระธาตุพูสีผมเลือกขึ้นจากทางด้านหลังแล้วไปลงด้านหน้า เพราะจะได้เห็นทิวทัศน์ทั้ง 2 ทางและการไปลงด้านหน้านั้นจะได้เที่ยวตลาดมืดต่อเลยครับ

ตอนแรกกะว่าจะไปนั่งตรงโขดหินถ่ายรูปแต่ว่าคนเยอะมากๆ อย่าว่าแต่ถ่ายรูปเลยครับแค่เดินยังลำบากเลย

หลังจากที่เดินฝ่าฝูงชนออกมาได้ก็เดินลงมาด้านหน้าครับ

ลงมาด้านหน้าก็จะมาเจอหอพระบาง กับตลาดมืด

จากนั้นก็ไปซื้อน้ำแล้วก็มานั่งพักที่ด้านหน้า ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันนะครับว่าทำไมมีนักเรียนเดินถือสมุดหนังสือกันคนละเล่มแถวๆพระธาตุพูสี ตอนแรกนึกว่านักเรียนมาทัศนะศึกษากัน แต่ไม่ใช่ครับนักเรียนกลุ่มนี้มา Learning ภาษากับชาวต่างชาติ

ไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไมเด็กนักเรียนที่หลวงพระบางถึงสือสารภาษาอังกฤษกันได้ ตอนแรกคนที่นั่งหันหลัง(ล่างซ้าย)จะเป็นคนเข้ามาถามชาวต่างชาติก่อนเพื่อมาขอเรียนรู้ภาษาแล้วจึงให้เด็กคนที่พูดด้วยเข้ามาคุยกับชาวต่างชาติ คุยกันทีละคนไม่ได้แย่งกันพูดจบจากคนนี้ก็ไปหาคนใหม่ และผมก็ได้มีโอกาสคุยกับชาวหลวงพระบางเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้เขานิยมส่งลูกไปเรียนที่จีนมากขึ้นเพราะที่หลวงพระบางมีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มมากขึ้น

ข้าวเปียก อร่อยมากๆครับ คือคืนแรกที่มาพักคนเยอะมากๆร้านนี้ วันนี้เลยไม่พลาด เห็นฝรั่งนั่งข้างๆใส่พริกแดงเต็มชามเลย ผมเลยเอาพริกเผาใส่ไปบ้างขนาดแค่นิดเดียวยังเผ็ดเลยครับใครไปทานก็ชิมก่อนละกัน

ร้านจะอยู่ตรงหัวมุมตึก ก่อนเข้าตลาดมืดครับ

ทานเสร็จก็เดินย้อนกลับ ยังไม่เข้าตลาดมืดครับ เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

เดินมาได้สักพักก็เห็นคนเดินเข้าออกซอยเยอะก็เลยเดินเข้าไป วันนั้นมีงานพอดีครับ

ตอนแรกกะว่าจะซื้อไปฝากเพื่อนๆสักหน่อยแต่เห็นราคาแล้ว.. กลับไปตลาดมืดดีกว่า

ของฝากยอดนิยมคงหนีไม่พ้นผ้าพันคอตรับเพราะไม่เปลืองพึ้นที่กระเป๋าครับ

หลังจากซื้อของฝากเสร็จก็หอบของพะรุงพะรัง กะว่าจะกลับที่พักเลย แต่…อ้าว!!! ลืมได้ไงซอย Backpack อุตส่าห์หาข้อมูลตอนนัดกะเพื่อนไว้คราวที่แล้วแต่ทริปล่มซะก่อน นอกจากของฝากแล้วยังซื้อของกินอีกหอบนึง เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด แต่เหมือนซื้อมาทิ้งเลยเพราะอิ่มตั้งแต่ข้าวเปียกแล้ว

หลังจากซื้อของเสร็จก็เดินกลับที่พัก ทางกลับใกล้ๆไม่กลับนะครับชอบเดินอ้อม เดินเลาะริมแม่น้ำมาเรื่อยๆจนถึงที่พักกว่าจะเก็บของยัดใส่กระเป๋าได้หมดก็เกือบตี 1 เลย 

วันนี้ตื่นแต่เช้าครับเตรียมเก็บของและตั้งใจไว้ด้วยว่าจะเดินไป สถานีรถ จะไม่นั่งตุ๊กๆไปเพราะที่หลวงพระบางค่ารถตุ๊กๆค่อนข้างแพง วันนี้อากาศหนาวมากอุณหภูมิแค่ 8 องศาเอง พอมาถึงสถานีก็เอาใบจองตั๋วไปยื่นเค้าท์เตอร์ด้านใน (ไม่ใช่ด้านหน้านะครับ) ตารางรถออก 7.30 น.แต่รถออกจริงเกือบ 8.30 น.ครับ

ซื้อของกินเสร็จต้องรีบขึ้นรถเลยครับข้างนอกหนาวมากๆ

ที่นี่มีรถไปคุนหมิง ประเทศจีน กับเตียนเบียนฟู เวียดนามด้วยครับ อยากไปซาปาจังเลย โอกาสหน้าต้องจัดสักหน่อย

ช่วงขากลับก็จะแวะพักรับประทานอาหารที่เดิมเหมือนตอนขามาครับ และจะถึง สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัด เลย ประมาณ 17.30 น.ครับ

สรุปค่าใช้จ่ายโดยประมาณ  5,900 บาท
ค่าเดินทาง 2,400 บาท
ค่าที่พัก 4 คืน 2,100 บาท (รวมที่จ.เลย 1 คืน) ถ้ามีเพื่อนไปด้วยจะหารกันได้ครับตรงส่วนนี้
ค่าอาหาร 1,000 บาท (เป็นคนทานน้อยครับ)
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 400 บาท (ค่าเข้าชม ทำบุญ ซิมการ์ด)

 

ขอบคุณรีวิวพร้อมข้อมูลดีๆ จากสมาชิกพันทิป


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ