tripgether.com

‘OUR JOURNEY’ ให้ใจมันพาไป | 3 วัน 2 คืน ณ สังขละบุรี เที่ยวทั่วเมืองแบบคนไม่รถ

19,832 ครั้ง
10 มิ.ย. 2560


บันทึกการเดินทางของเด็กมหาลัย  2+1 
คนนึงอยากเก็บบรรยากาศ ถ่ายรูป  | คนนึงอยากทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ  | คนนึงอยากปลดปล่อยและพักผ่อนจากการเรียน ทริปนี้จึงเกิดขึ้น ครั้งแรกที่พ่ออนุญาตให้ไปเที่ยวแบบ Backpack กับเพื่อน ครั้งแรกที่เป็นคนถ่ายภาพจากกล้องของตัวเอง ครั้งแรกที่ได้ไปกาญจนบุรี ครั้งแรกที่ได้ไปสังขละบุรี ครั้งแรกที่ได้ไปพม่า ทุกอย่างเป็นครั้งแรกของเรา เย้ๆๆๆ

ปล. รูปอาจจะไม่ค่อยสวยนะคะ เพราะเราอยากถ่ายอะไรก็ถ่ายไม่ค่อยรู้มุมปรับกล้องก็ไม่ค่อยจะเป็น ไม่ได้แต่งสีด้วยนะเพราะเราเล่น Lightroom กับ Photoshop ไม่เป็น


เริ่มเดินทาง ตอนแรกเรานัดกับเพื่อนว่าจะออกเดินทางกันประมาณ 05.30 แต่มันเป็นไปไม่ได้ 555 ก็เลยเลื่อนเวลาเดินทางออกไปเป็น  8 โมง แต่เราก็มาสายยย ยย ได้ออกเดินทางจริงๆก็ 9 โมงกว่าๆ และเพื่อนเราอีกคนก็ไปวันนี้ไม่ได้เพราะต้องไปทำงานด่วนและจะตามมาอีกทีวันที่ 2 ของทริป การเดินทางครั้งนี้เลยเหลือแค่เรากับแฝดเทค 2 คน พวกเราไปขึ้นรถตู้ที่อนุสาวรีย์ ของ บริษัทหนุมานทัวร์สยาม (ค่ารถ 120 บาท) ช่วงนี้ไม่มีรูปเลยเพราะทุกอย่างรีบไปหมดแถมขึ้นรถผิดคันอีก เกือบได้ไปพัทยาแทนกาญละ เราขอข้ามไปตอนที่ถึงกาญจนบุรีเลยละกัน

พวกเรามาถึงกาญจนบุรีตอนประมาณ 11 โมงกว่า เป้าหมายต่อไปของพวกเรา คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว พอลงจากรถปุ๊บก็งงเลยจ้า เอาไงต่อดี งงกันได้สักพักก็เริ่มถามคนแถวนั้น ซึ่งวิธีที่จะไปได้และถูกที่สุด คือ ต้องรอรถที่ออกเป็นรอบๆ(เมล์เครื่องคันสีเขียวๆใหญ่ๆ) ค่ารถแค่ 20 บาทเอง แต่รถจะจอดแค่สายนอกไม่ได้เข้าไปถึงตัวสะพาน ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร พอเรากับเพื่อนลงจากรถ ก็จะมีลุงวินมาถามเลยค่ะ แต่เราไม่ไปกันค่ะเพราะทริปนี้เราเน้นเดิน แค่ 1 กิโลเองไม่ไกลเท่าไหร่หรอก

 
ทางที่จะเข้าไปยังสะพานนี่นกว่าอยู่เกาหลีช่วงฤดูใบไม้ร่วง เรากับเพื่อนก็เดินคุยเล่นกันไปเรื่อยพอเดินไปได้กลางทางก็เริ่มบ่นค่ะ
 
‘สะพานข้ามแม่น้ำแคว’ ในที่สุดก็ถึงแล้วสะพานข้ามแม่น้ำแคว
 

ชื่นชมบรรยากาศกันเรียบร้อยก็ยกกล้องขึ้นถ่ายภาพเลยจ้า กล้องคนละตัวถ่ายรูปกันคนละมุม 


หลังจากที่ถ่ายรูปกันเสร็จแล้วท้องก็ร้องเลยจ้า ก็เลยไปหาข้าวกินแถวสถานีรถไฟ ราคาก็ตามสถานที่ท่องเที่ยวอ่ะเนอะ

กระเพราหมูสับไข่ดาวน่ากินมาก แต่มันไม่ใช่ของเรามันคือของเพื่อนเรา เสียใจมากที่ไม่ได้สั่ง หลังจากที่เติมพลังกันเรียบร้อยก็เดินออกไปถนนใหญ่เพื่อขึ้นเมล์เครื่องไปสุสานสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก

สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก เรากับเพื่อนไม่ได้ลงหน้าสุสานเลยแต่ลงกันที่สถานีรถไฟกาญจนบุรีเพราะเข้าใจผิดว่ามันมีพิพิธภัณฑ์ก็เลยเดินเข้าไปดูกัน แต่ว่ามันไม่มีเรากับเพื่อนก็เลยไปรถไฟเล่นๆแล้วเราก็เจอนี่เลยรถไฟโคตรอะไรก็ไม่รู้โคตรหรูมองไปข้างในมีแต่ฝรั่ง กับโต๊ะอาหารที่โคตรจะดูดี หลังจากที่ส่งรถไปขบวนนี้เสร็จก็เดินต่อไปยังสุสาน

ในที่สุดก็ถึงแล้วจากสถานีรถไฟมาถึงที่นี่ไม่ไกลหรอกแต่แดดมันแรงมากลดพลังงานเราลงไปเยอะเลย 




สุสานที่นี่สวยมากแต่พอเราเข้าไปกลับรู้สึกหดหู่ อยู่ในสุสานกันสักพักเรากับเพื่อนก็ออกไปรอเมล์เครื่องเพื่อไปขนส่ง เรามาถึงขนส่งประมาณบ่าย3 แต่กว่าจะได้ขึ้นรถจริงๆก็ เกือบ4 โมง ก็เลยเลือกนั่งรถตู้ไปสังขละ ค่ารถคนละ 175 บาท ซึ่งป้าที่ขายตั๋วบอกว่ารอบสุดท้ายพอดีเลย ซื้อตั๋วเสร็จก็ขึ้นรถหลังจากนั้นภาพก็ตัดไป เราหลับๆตื่นๆ หูก็อื้อ จนถึงสังขละ กว่าจะถึงสังขละก็เกือบ 1 ทุ่ม เป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก

สังขละบุรี พอถึงสังขละเราก็ต้องรีบหาที่พัก เรากับเพื่อนตกลงกันว่าจะไปพักฝั่งมอญ เราเลยเสนอโฮมเสตย์วิการดาเพราะเราเคยเห็นรีวิวในพันทิพ เมื่อตกลงกันได้ก็โทรไปจอง พอได้ที่พักก็ต้องหาวิธีไปฝั่งมอญตอนแรกเรากับเพื่อนกะว่าจะเดินกันไป แต่ก็มีคุณลุงคนนึงมาเสนอว่า ให้ไปกับลุงคนละ 50 บาท ส่งถึงที่เลย ถ้าเดินจากนี้ไปตรงสะพานมอญมันจะไกลมาก เรากับเพื่อนก็คุยกันว่ามันแพงไปป่าววะ 2 คนตั้ง 100 บาทแหนะ แต่สุดท้ายก็ตกลงไป ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าคนละ 50 บาท แล้วก็กระโดดขึ้นรถเลย

ระหว่างทางไปที่พักหน้านี่ชาเลยจ้า จากการที่ได้สัมผัสกับเส้นทาง จริงๆแล้วมันก็ไม่แพงเท่าไหร่นะเพราะมันไกลจริง คุณลุงแกขับรถพามาทางสะพานซองกาเลียที่เป็นสะพานปูนรถสามารถขับผ่านได้ พอถึงที่พักกับเพื่อนก็เข้าไปเก็บของ พี่เจ้าของบ้านน่ารักมากอย่างที่คนอื่นรีวิวเลย พี่เค้าคิดค่าที่พักคนละ 200 บาท พอเก็บของ ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรากับเพื่อนก็ออกไปหาอะไรกินที่ตลาด รอบนี้เรากับเพื่อนเดินไปทางสะพานมอญ ถึงตลาดพวกเราก็ไปกินอาหารตามสั่งกัน ราคาไม่แพงเลย 35-40 บาท กินข้าวเสร็จเรากับเพื่อนก็เดินตรงไปที่ร้านหมูจุ่มพม่า คือแบบเห็น หมูจุ่มนี่อยู่แทบทุกรีวิวเลย พวกเราก็เลยไม่พลาดที่จะลอง


มูมู จิ้มจุ่มพม่า ไม้ละบาท (กินไปแค่ 15 ไม้เอง ส่วนเพื่อนเรา 5 ไม้) ได้กินแค่นิดเดียวเพราะเรากับเพื่อนกินข้าวกันมาก่อนแล้ว เราว่ามันอร่อยดีนะแต่เพื่อนเรากลับไม่ชอบกิน เสียใจ หลังจากที่เดินเที่ยวเล่นในตลาดเรากับเพื่อนก็กลับที่พักด้วยการนั่งวินมอเตอร์ไซต์ (ไมม่คิดที่จะเดินแล้ว เพราะทางจากตตลาดไปสะพานมอญค่อนข้างไกลและก็มืด) เราโดนค่าวินไป 20  บาท แต่เพื่อเราบอกว่าจ่ายแค่ 10 บาท เมื่อถึงที่พักก็แยกย้ายกันอาบน้ำนอน


ตักบาตรตอนเช้าที่ฝั่งมอญ วันนี้เรากับเพื่อนตั้งใจว่าจะไปถ่ายแสงอาทิตย์ตอนเช้ากัน แต่ก็ไม่ตื่นกันทั้ง 2 คน แผนนี้จึงล่ม ถ้าพี่เจ้าของบ้านไม่มาปลุกไปตักบาตรก็คงไม่ตื่น 
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันพี่เค้าก็ชวนไปตักบาตรที่หน้าบ้าน พอตักบาตรเสร็จเราสองคนก็เดินไปที่สะพานมอญซึ่งพระกำลังเดินมาพอดีเลย โชคดีมากที่เดินมาทัน ของตักบาตรราคาชุดละ 99 บาท ทุกร้าน ต่อไม่ได้

พอเราตักบาตรเสร็จเรากับเพื่อนก็ถ่ายรูปกัน


สองซุปเปอร์สตาร์ของที่นี่ 



 
สะพานมอญ




สะพานชองกาเลียที่เราจะไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นกันวันพรุ่งนี้

ข้างล่างมีของขายด้วย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเสื้อผ้าแบบชาวมอญ เราได้ปะแป้งทานาคาด้วย เป็นเอกลักษณ์ของคนที่นี่เลยนะ

เดินไปเรื่อยๆก็จะมีคุณป้าผู้หญิงขาย เปาะเปี๊ยะ หรือขนมอะไรก็ไม่รู้เพราะป้าเค้าไม่ยอมบอกหรืออาจจะพูดภาษาไทยไม่ได้ ถุงละ 20 บาทเอง กินกับน้ำจิ้มสีส้มๆ อร่อยมาก (ไม่มีรูปป้าคนขายกับขนมเลย มีแต่รูปเราตอนแอ๊บกินอ่ะ)

เดินไปอีกนิดก็จะเจอพี่คนนี้ อีกหนึ่งซุปตาร์ของที่นี่ เราเห็นว่าพี่แกยังไม่กระโดดสักทีเรากับเพื่อนก็เลยลงไปรเก็บภาพด้านล่าง

เดินมาข้างล่างแล้วว เหมือนตรงนี้จะเป็นสะพานอันเก่าที่ใช้กันตอนที่สะพานมอญพัง

นั่งเล่นกันสักพักท้องเริ่มหิวเราสองคนก็เลยไปหาอะไรกินกันที่ฝั่งมอญ เราตกลงกันว่าจะไปกินโจ๊กที่ทั้งอร่อยและก็ถูก 25 บาทเองง
 
 

พอกินเสร็จเราสองคนก็ไปเดินเล่นกัน เดินไปตรงไปเรื่อยๆแล้วก็เลี้ยวซ้าย แล้วก็เดินไปเรื่อยๆจนเจอสะพานอันนี้



พอเราเข้ามาในตัวหมู่บ้านก็เจอน้องคนนี้ วิ่งตามลงมากจากทางที่ชันๆ แล้วก็มาล้มตรงหน้าพร้อมกับมองกล้องเราก็เลยได้ภาพนี้มา


เดินไปเรื่อยๆก็จะเจอกับแม่น้ำจากฝั่งนี้เห็นสะพานมอญด้วย

หลังจากที่เดินออกมาจากซอยนั้นเรากับเพื่อนก็กลับที่พักเพื่อไปอาบน้ำ วันนี้จะเป็นวันที่เพื่อนเราอีกคนนึงตามมาจากกรุงเทพ คนที่เราชวนคนแรกในที่สุดมันก็มา 555 ระหว่างที่รอมันมาเรากับเพื่อนก็เลยตกลงกันว่าจะเที่ยวแถวนี้รอมันแล้วค่อยไปพม่าด้วยกัน 3 คน

หลังจากที่จัดการตัวเองกันเรียบร้อย เราก็ไปถามวิธีไป วัดหลวงพ่ออุตตมะและเจดีย์พุทธคยากับป้าเจ้าของบ้านแล้วป้าเค้าก็ให้เรายืมมอเตอร์ไชต์ด้วย เราก็เลยบอกพี่ไปว่า เดี๋ยวหนูเติมน้ำมันให้นะคะ  เรากับเพื่อนขี่มอเตอร์ไซต์จนไปถึงทางแยกที่ระหว่างทางไป วัดหลวงพ่ออุตตมะและเจดีย์พุทธคยา อยู่ดีๆเครื่องก็ดับเราก็คิดในใจ นั่นไงพี่แกเล่นกูแล้วน้ำมันหมดจ้าเกลี้ยงถังเลย โชคดีมากที่ขึ้นเนินมาแล้วว ระหว่างที่ยืนงงกันอยู่ว่าจะเอายังไงต่อไป ก็มีพี่สาวใจดีมาพาไปเติมน้ำมัน ซึ่งมันต้องลงเนินไป ทางที่เราขึ้นมานั่นแหละ พี่สาวคนนี้ใจดีมากพาเพื่อนเราไปเติมน้ำมันแล้วยังจ่ายค่าน้ำมันให้อีกด้วย 


เจดีย์พุทธคยา




วัดหลวงพ่ออุตตมะ
 
 
 

หลังจากนั้นเรากับเพื่อนก็กลับที่พักกันเพื่อเก็บของและไปหาที่พักฝั่งของสะพานมอญ

เพื่อนเราไปพักที่ P Guest House ส่วนเราไปพักที่ Oh Dee Hostel ห้องที่เราเข้าพักเป็นแแบดับเบิ้ลรูม ราคา 1400 บาท เป็นห้องน้ำรวม เราว่าที่นีดีมาก เราชอบเตียงที่นี่มากสุดจะนุ่ม


 

ด่านเจย์ดีสามองค์ พญาตองซู  หลังจากที่เพื่อนเราอีกคนมาถึงพวกเราก็รีบไปที่ท่ารถ ลุงแถวนั้นบอกว่ารถจะออกอีกที่ตอน 4 โมงกว่าๆ ซึ่งกว่าจะถึงนู่นก็ 5โมงเกือบ 6โมง ซึ่งไม่ได้เดินข้ามไปฝั่งพม่าแน่ๆ แลัอาจจะไม่มีรถกลับด้วย ถ้าไปก็เหมือนนั่งรถไปแล้วก็นั่งกลับเลย ตอนนั้นเครียดมาก คือแบบ “กูอยากไปพม่า อยากไปต่างประเทศโว้ยยยย  ยย” เราก็เลยไปต่อรองลุงคนขับรถแกก็บอกว่า เหมามั้ย 700 เดี๋ยวลุงรอ เราก็คิดในใจ “ไม่เอา แพง” เราเลยต่อลุงไปอีก “เหลือร้อยสองร้อยไม่ได้หรอลุง” แกก็เงียบแล้วก็พูดๆๆๆ อะไรไม่รู้ ส่วนเราก็แกล้งบ่นๆให้ลุงฟัง จนลุงแกออกรถก่อนเวลา คือตอน บ่ายสามครึ่ง ในราคา คนละ 35 บาท ลุงแกขับให้เร็วมากก เรากับเพื่อนๆถึงท่ารถที่ด่านเจดีย์สามองค์ประมาณ 4 โมง นิดๆ

พวกเรามีเวลาเที่ยวแค่ 1 ชั่วโมง หลังจากที่ต่อเวลาแล้วต่อเวลาอีกจนลุงแกบอกเดี๋ยวลุงออก 5โมงครึ่ง ก็ได้ หลังจากต่อเวลากันเรียบร้อยพวกเราก็เดินเที่ยว ที่นี่มีทัวร์ไปพม่าด้วยราคาไม่แน่ใจเพราะเราไม่ได้เข้าไปเดินดู เราไม่ซื้อมลทัวร์เพราะไม่มีเวลาแล้วแค่ชั่วโมงเดียวจะไปไหนได้จริงมะ หลังจากลงรถเรา 3 คน ก็เดินไปที่ด่านเจดีย์สามองค์

 
 
ด่านเจดีย์สามองค์ในจินตนาการของเราจะต้องใหญ่ยิ่งกว่าองค์พระปฐมเจดีย์เพราะเราได้ยิ่นบ่อยมากเวลาเรียนประวัติศาสตร์ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นแบบที่คิด ก่อนที่จะข้ามไปฝั่งพม่าจะไปติดต่อเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยก่อน ใช้แค่สำเนาบัตรประชาชนกับค่าธรรมเนียม10บาท ส่วนฝั่งพม่า 40 บาท
 
 
ข้ามมาฝั่งพม่าแล้วมีวินมอเตอร์ไซต์ด้วยน่าจะ 20 บาท ไปตลาด แต่พวกเราเลือเดินไปเรื่อยๆ

 
 
 


 
เรากับเพื่อนๆก็เดินไปเรื่อยๆแล้วก็เดินย้อนกลับไปทางเดิมเพราะใกล้เวลารถออก พอเราเดินไปถึงต่านก็แลกบัตรประชาชนคืน ลุงคนขับรถตอนเรามาที่นี่ก็วิ่งมาตามเพราะรถจะออกแล้ว ระหว่างที่เดินไปเราก็ได้คุยกับลุงเค้าด้วย ลุงน่ารักมากๆ
 

 
หลังจากที่พวกเรากลับมาถึงสังขละเราก็พาเพื่อนที่เพิ่งมาถึงไปถ่ายรูปที่สะพานมอญ 
 

หลังจากที่ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วพวกเราก็ไปพาอะไรกินที่ตลาดเหมือนเดิม กินอาหารตามสั่งเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือทองโย๊ะ
 
 
ขนมทองโย๊ะ อร่อยมันเป็นงาผสมกับอะไรไม่รู้แต่พอจิ้มนมขนแล้วอร่อยมมาก กล้องละ 20 บาท
 
หมูจุ่มพม่าตรงหน้าเซเว่น ไม้ละ 1 บาทเหมือนกัน 


วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะอยู่สังขละบุรี เราตื่นตั้ง 4.30 น. เพราะเราวางแผนกันว่าจะไปถ่ายรูปกันที่สะพานปูน และวันนี้ก็เป็นวันที่เพื่อนเรากลับก่อนเพราะต้องไปส่งงานที่คณะ(เพื่อนที่เพิ่งมานั่นแหละ) สุดท้ายก็เหลือเรากับแฝดเทคเราเหมือนเดิม หลังจากที่แยกย้ายกันแล้วเรากับเพื่อนที่เป็นแฝดเทคก็ไปขึ้นวินมอเตอร์ไซต์ตรงท่ารถที่ไปด่านเจดีย์สามองค์เพื่อไปตรงสะพานปูน ค่าวินไปคนละ 20 บาท หลังจากที่ลงจากรถเราก็ขอเบอร์ลุงคนขับเพื่อให้เค้ามารับอีกรอบ
แสงเช้าที่สังขละบุรี เรากับเพื่อนนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นกันที่สะพาน เพื่อที่จะถ่ายภาพ

ตอนที่เรากับเพื่อนนั่งกันอยู่ก็มีเรื่องขำนิดๆสำหรับเราเกิดขึ้น คือ มันมีรถคันหนึ่งขับมาตอนแรกขับมาช้ามากแต่พอขับมาถึงตรงสะพานแบบพอที่จะเห็นเรากับเพื่อน รถคันนั้นก็ขับไปด้วยความเร็วมากก็ไม่รู้ว่าคนบนรถมันคิดอะไรอยู่ หลังจากที่รอได้สักพักพระอาทิตย์ก็เริ่มขึ้น เพื่อนมันก็เริ่มถ่ายภาพ 

 
 

 
 
 
เราชอบอากาศตอนเช้าของที่นี่มาก วันที่เราไปมันไม่หนาวอยู่แล้วแต่ตอนเช้าค่อนข้างเย็นสบาย ตอนที่เรามารอถ่ายรูปมีหมอกผ่านหน้าเราไปด้วย ซึ่งที่บางแสนก็ไม่มีแบบนี้ ยิ่งที่กรุงเทพยิ่งเป็นไปไม่ได้ คือไม่รู้สึกเสียใจเลยที่ตื่นตั้งแต่ตีสี่กว่าๆมาถ่ายรูปที่นี่ หลังจากที่เราโทรเรียกลุงวินมารับ เราก็ให้ไปจอดที่ร้านข้าวมันไก่ข้างเซเว่น
 

ข้าวมันไก้ร้านนี้อร่อยนะแต่ให้หนังไก่น้อยไปหน่อย กินกันเสร็จเราก็ไปเอาอาหารเช้าฟรีที่ที่พักของเรา เราก็สั่งโกโก้เย็น แล้วก็ปิ้งขนมปัง 
 

วัดจมน้ำ Unseen in Thailand พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรากับเพื่อนก็นั่งวินไปที่สะพานมอญ (เจอลุงคนเดิมอีกแล้ววว) เพื่อจะไปลงเรือเที่ยววัดจมน้ำ เรากับเพื่อนโชคดีมากที่เสียค่าเรือคนละ 100 เพราะได้เจอเพื่อนใหม่อีกสองคนที่จะลงเรือไปด้วยกัน (ตอนแรกคิดว่าต้องลงเรือกัน 2 คน ก็ตกคนละ 250 เพราะไป 3 วัดมัน 500 บาท แต่ก็ต่อกันจนเหลือ 400 บาท) หลังจากตกลงราคากันเรียบร้อยก็ลงเรือเพื่อไปชมวัดกัน  ขณะที่เรือขับไปเรื่อยๆ น้ำมันก็หมดระหว่างทาง เรานี่มันโชคดีจริงๆเจอเหตุการณืแบบนี้มาสองรอบละ แต่สุดท้ายก็มีคนเอาน้ำมันมาเติมให้

 

วัดศรีสุวรรณ



วัดสมเด็จ เป็นวัดที่อยู่บนเกาะเราต้องเดินขึ้นไปจากฝั่งที่เรือจอด เป็นวัดที่ค่อนข้างสมบูรณ์กว่าอื่นที่จมน้ำเพราะไม่ได้โดนน้ำท่วม 
 
 

วัดวังก์วิเวการาม (วัดเก่า) เป็นวัดแบบมอญ
 
หลังจากที่ครบ 3 วัดแล้ว ก็ได้เวลากลับ โดยที่เรากับเพื่อนวางแผนกันว่าจะกลับไปเก็บของ แล้วก็รีบไปขึ้นรถตู้เพื่อไปถ้ำกระแซไปถ่ายรูปกันต่อที่ทางรถไฟสายมรณะ
ทางรถไฟสายมรณะ เรากับเพื่อนออกจากสังขละประมาณ 11 โมง โดยที่เราสองคนจะนั่งรถตู้ไปลงที่แยกวังโพธิ์ ค่ารถ 175 บาท เท่ากับตอนมาที่นี่

 
หลังจากที่หลับๆตื่นๆกันไปหลายรอบ ในที่สุดก็ถึงแยกวังโพธิ์ พอลงจากรถเราสองคนก็เดินข้ามถนนเพื่อข้ามไปขึ้นวินมอเตอร์ไซต์ ค่ารถจากปากซอยไปถึงสถานีถ้ำกระแซคนละ 50 บาท ราคาถือว่าเหมาะสมกับระยะทางมาก
 
 
หลังจากที่มาถึงสถานีเราสองคนก็หาข้าวกิน สำหรับค่าอาหารของที่นี่ก็เป็นราคาตามสถานที่ท่องเที่ยว พวกเราวางแผนกันไว้ว่าจะไปถ่ายรูปที่ถ้ำกระแซกับทางรถไฟระหว่างที่รอรถไฟมา ซึ่งพวกเราจะนั่งรถไฟรอบ 4 โมง ไปลงที่สถานนีกาญจนบุรี แล้วค่อยนั่งรถตู้กลับกรุงเทพกัน แผนนี้เป็นแผนที่คิดกันสดๆเมื่อคืนเลย
 
 
หลังจากกินข้าวเสร็จเราสองคนก็แบกกระเป๋ากับกล้องเดินไปถ่ายรูปที่ถ้ำกระแซ ที่เราได้ยินมาคือที่นี่เคยเป็นที่พักของเฉลยในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ขนลุกนิดนึงตอนเดินเข้าไปในถ้ำ ในถ้ำจะมีพระพุทธรูปอยู่ด้วยให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้กัน (เราไม่ได้ถ่ายมา)
 
 
ทางรถไฟสายมรณะ หลังจากที่เดินออกมาจากถ้ำเราก็เดินไปตามทางรถไฟ เราค่อนข้างอินกับที่ตรงนี้เพราะเคยอ่านประวัติที่นี่มากก่อนแล้ว เวลาเดินเราก็พยายามจินตนาการว่ามีคนกำลังสร้างทางรถไฟอยู่ และก็มีคนที่ต้องตายอีกเป็นจำนวนมากในการสร้างทางรถไฟสายนี้ ตอนเดินก็คุยกับเพื่อนว่าถ้าเราเดินๆอยู่แล้วหลุดเข้าไปยุคนั้น คงทรมานน่าดูเนอะ
 
 



ทางรถไฟที่มีแต่ความเจ็บปวด “หากนับหมอนหนุนรางรถไฟมีเท่าไหร่ จำนวนผู้คน-เชลยศึกที่ถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟสายนี้ก็ตายไปเท่านั้น” บอกเลยว่าเราอินกับสถานที่ท่องเที่ยวนี้จริงๆๆ
 
 
 
เป็นทางที่ค่อนข้างเสียวจริงๆ ยิ่งเวลาที่คนเดินสวนมานะไม่รู้จะต้องไปยังไงเลยเรากับเพื่อนเดินกันไปได้ครึ่งทางก็เดินย้อนกลับมาที่สถานีเพื่อนั่งรอรถไฟ ระหว่างที่เดินกลับนักท่องเที่ยวหลากหลายสัญชาติก็เริ่มเยอะขึ้นเพราะพวกเค้าก็รอขึ้นรถไฟเหมือนกันซึ่งส่วนใหญ่เค้าจะไปลงกันที่สถานีถ้ำกระแซตรงสวนไทรโยค หลังจากที่รอสักพักรถไฟที่เรารอคอยก็มาถึง
 
 
16.09 น. ในที่สุดรถไฟก็มา ซึ่งขบวนที่เรานั่งนี้จะสุดสายที่สถานีหนองปลาดุก เรารีบถ่ายไปหน่อยรถไฟเลยเอียง หลังจากที่รถไฟมาทุกคนต่างก็รีบไปจับจองที่นั่ง เราก็รีบจนแทบจะทิ้งเพื่อนเพื่อให้ที่ดีๆ ขากลับฝั่งที่ดีที่สุดคือฝั่งขวาเพราะจะเห็นทางรถไฟระหว่างที่รถไฟวิ่ง
 

ช่วงที่รถไฟวิ่งคนบนรถไฟก็จะโบกมือส่งเสียงให้กับคนที่อยู่บนแพแล้วก็โบกมือให้กัน (อารมณ์เหมือนตอนที่เรือไททานิกกำลังออกจากท่าแล้วผู้โดยสารก็โบกมือให้กับคนที่มาส่ง) เป็นความรู้สึกที่ดีมากกับการที่คนที่ไม่รู้จักกัน คนละชาติ คนละภาษา มายิ้มและหัวเราะให้กัน หลังจากที่ผ่านช่วงทางรถไฟสายมรณะนี้ไปคนก็เริ่มลงจากรถไฟเรื่อย ส่วนเรากับเพื่อนก็หาที่นั่งแล้วก็เก็บภาพระหว่างทาง

 
 


สองข้างทางรถไฟที่หาไม่ได้ในเมืองกรุง นั่งไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถึงสถานที่แรกที่เรามาในทริปนี้ นั่นก็คือ  สะพานข้ามแม่น้ำแคว
 
 
 
สถานีต่อไปก็คือสถานีที่เราต้องลง สถานีกาญจนบุรี ในที่สุดการเดินทางของเราก็สิ้นสุดลง บนรถไฟเราก็ได้เพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นคนต่างชาติที่พูดภาษาจีนได้แต่ไม่รู้ชาติอะไร ที่จริงก็เคยเห็นกันตั้งแต่ที่สังขละบุรีแล้วก็มาคุยกันแบบจริงๆจังๆบนรถไฟ ซึ่งเค้าก็มาขอนั่งรถไปลงที่ขนส่งกับเราด้วบ พอลงจากรถไฟเรา 3 คนก็ออกไปรอรถเมล์เครื่องกันแต่สุดท้ายก็ได้นั่งรถตุ๊กตุ๊กในเมืองกาญ ซึ่งเค้าคิดจากสถานีไปขนส่ง 60 บาท
 

เมื่อถึงสถานีเรากับเพื่อใหม่ก็แยกย้ายกันเพราะพี่เค้าจะอยู่ที่กาญจนบุรีต่ออีกวันหนึ่ง ส่วนเรากับเพื่อนจะต้องนั่งรถกลับกรุงเทพไปลงที่อนุสาวรีย์เพื่อเป็นการจบทริปอย่างเป็นทางการ “every story has an end. but in life,every ending is just a new beginning”

 

การเดินทางในครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีผู้ร่วมทางที่มาร่วมเดินทางไปด้วยกัน
ขอบคุณพู่ที่มาตามสัญญาที่ให้ไว้
ขอบคุณคิมที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันจนจบทริป
ขอบคุณพ่อกับแม่ที่อนุญาติให้ลองและให้การสนับสนุน 
ขอบคุณทุกๆคนที่ผ่านเข้ามาในทริปนี้

ขอบคุณความกล้าของตัวเองที่จะลองทำในสิ่งที่ไม่เคย
จบแล้วบันทึกการเดินทางของเรา
 
 
 
ขอบคุณรีวิวการเดินทางจากสมาชิกพันทิป สามารถติดตามรีวิวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
 

ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ